15 ตุลาคม 2562

ตอบคำถาม : สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประทานความสำเร็จให้จริงไหม 15/10/2019

 #ตอบคำถาม

คุณ ภูษิตา สุริยวงศ์‎

 

Question:

การที่คนหลายๆคนไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

แล้วเขาประสบความสำเร็จนั้น

เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ประทานความสำเร็จให้เขาจริงๆหรือเจ้าคะ

 

เพราะเห็นผู้คนกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ในรูปแบบต่างๆกันเยอะมาก

แล้วเขาสำเร็จเขาก็บอกต่อคนอื่นๆไปเรื่อยๆ

การกระทำเช่นนั้นจึงขยายไปเรื่อยๆ

ศิษย์มีความสงสัยมากว่า

เขาสำเร็จเพราะอะไร

 

Answer:

ท่านผู้ถามคำถามนี้

และพี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คำว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์"

ในความหมายของพวกท่านนั้น

คงจะหมายถึงตัวตนรูปธรรมที่มองไม่เห็น

จะเป็นใครผู้ใดก็ไม่รู้

หรืออาจเป็นรูปธรรมวัตถุมายาไม่มีชีวิต

ซึ่งเป็นตัวตนสรรพสิ่งที่พวกท่านมั่นใจว่า

จะสามารถบันดาลดลสิ่งที่ท่านปรารถนา

ทั้งน้อยใหญ่ง่ายยากมาให้ท่านได้

 

แต่ความจริงที่เราจะกล่าวไว้ให้ท่านรู้ก็คือ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับมนุษย์เช่นท่านทั้งหลาย

มีเพียงแค่ "พระ 3 องค์" เท่านั้น คือ

 

1. พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

คือ "องค์จิตจักรวาล" หรือพระผู้สร้าง

ผู้ทรงเป็น "พระผู้เป็นเจ้า" เหนือสิ่งทั้งปวง

ทรงเป็นผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดในทุกสรรพสิ่ง

พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน

 

ดังนั้น

พระองค์จึงทรงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด

ในสากลจักรวาลอันไพศาลนี้

 

2. พระบิดรมารดาที่เป็นดั่งพระอรหันต์ในบ้าน

ซึ่งเป็นพระผู้ให้ทั้งชีวิตและเลือดเนื้อแก่ท่าน

แล้วเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูอบรมจนท่านเติบใหญ่

 

ดังนั้น

พระทั้งสองนี้จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในบ้าน

สำหรับบุตรเช่นท่านซึ่งยากจะหาใครเทียบได้

 

3. พระจิตวิญญาณผู้ข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์

ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในกายสังขารของท่าน

กับพลียะเดี้ยนซึ่งเป็นเสมือนแม่นมของท่านเอง

ทั้งหมดเหล่านี้เป็นผู้ให้พลังชีวิตแก่ท่าน

เพื่อการเป็นคนสองมิติที่มีลมหายใจอยู่ได้

เป็นผู้ให้พลังอำนาจในการเป็นมนุษย์แก่ท่าน

ถ้าไม่มีพระจิตวิญญาณท่านก็จะไม่มีชีวิต

 

ดังนั้น

พระจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน

จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในการเป็นมนุษย์

บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ในความเป็นมนุษย์ของท่าน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงจะมีเพียง 3 พระองค์

ตามที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามพระองค์

เป็นผู้ประทานเป็นผู้ให้สิ่งดีๆแก่ท่าน

ด้วยความรักความเมตตาและเอ็นดู

โดยที่ตัวท่านไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนร้องขอ

เป็นการให้โดยมิได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน

เป็นการให้โดยไม่ต้องมีสิ่งเซ่นสรวงเซ่นไหว้

เป็นการให้โดยไม่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน

ซึ่งเป็นการให้ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

 

#ตัวอย่างแรก:

 

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

ทรงประทานความรักและเมตตาต่อท่าน

ด้วยการส่งพระบุตรเอกลงมาจุติ

เพื่อชี้แนวทางสร้างแนวคิดและกระตุ้นจิตสามนึก

ให้แก่ท่านทั้งหลายในทุกยุคสมัย

ที่โลกมีการวิกฤตด้านจิตสามนึกเกิดขึ้น

 

เพื่อมาช่วยเยียวยาจิตวิญญาณลูกๆที่หลงมิติ

จนสิ้นโอกาสที่จะหลุดพ้นคืนกลับสู่บ้านเกิด

ในแดนสุญตาซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพ

ให้สามารถกลับเข้ามาสู่มรรควิถีจิตจักรวาล

เพื่อก้าวเดินบนเส้นทางนิพพานได้อีกครั้ง

 

นอกจากนั้น

เมื่อลูกๆเช่นท่านคนใดก็ตาม

ที่หมั่นกระทำแต่ความดีด้วยจิตบริสุทธิ์

เป็นการทำความดีในบทบาทของผู้ให้

โดยไม่หวังสิ่งใดแลกเปลี่ยนตอบแทน

โดยไม่ต้องร้องขออะไรทั้งนั้น

 

พระบิดาก็จะประทานรางวัลตอบแทนให้

ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง

อย่างเหมาะสมกับความดีงามที่ท่านกระทำ

ยกเว้นเมื่อท่านทำกรรมดีทำบุญกุศลใดๆแล้ว

ตั้งจิตอธิษฐานขอนั่นโน่นนี่จากใครก็ไม่รู้

ที่ท่านเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนั่นล่ะ

พระองค์ก็จะมิประทานสิ่งใดให้เป็นรางวัลอีก

เพราะทรงเห็นว่าท่าน "หา" เองเป็นแล้ว

มิพักต้องช่วยประทานสิ่งใดๆให้ท่านอีก

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้นท่านคิดว่า

พระองค์คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่านมั้ยล่ะ?

 

#ตัวอย่างที่สอง:

 

พระบิดรมารดาที่เป็นดั่งพระอรหันต์ในบ้าน

เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่แก่ท่าน

ด้วยการให้กำเนิดเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์

ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง

ได้ใช้เป็นเปลือกนอกหุ้มห่อตนเองไว้

ขณะต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

ตามพันธะสัญญาทั้ง 6 ประการ

ที่ได้ให้สัจจะต่อพระบิดาไว้เมื่อแรกลงมาจุติแล้ว

 

ถ้าท่านไม่มีพ่อแม่บังเกิดเกล้า

ผู้เป็นบุตรเช่นท่านก็จะถือกำเนิดไม่ได้

 

นอกจากนั้นตั้งแต่เป็นทารกยังสื่อสารไม่ได้

พ่อแม่ของท่านจะรู้ได้เองว่าเวลาไหนยามใด

ลูกเช่นท่านต้องการนมต้องการน้ำ

ต้องการให้ชำระเมื่อเปื้อนฉี่หรือเลอะอุจจาระ

พ่อแม่ก็สามารถรู้ความต้องการของลูกได้เอง

โดยทำให้ลูกกินอิ่มหลับสบายมีความสุขกาย

เยี่ยงคนรู้ใจที่สื่อสารทางจิตกับลูกได้โดยแท้

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ท่านคิดว่า

บิดรมารดาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่านมั้ยล่ะ?

 

#ตัวอย่างที่สาม:

 

พระจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของท่าน

ผู้ขันอาสาข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นตัวท่าน

มาเกิดเป็นมนุษย์โลกคนหนึ่ง

เพื่อปฏิบัติภารกิจทางโลกและพลังงาน

ในพระนามตัวแทนแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่านเอง

 

โดยภารกิจสำคัญก็คือ

เข้ามาช่วยกันผลิตสร้างพลังงานความรัก

จากแก่นแท้ในตัวท่านเองกับมนุษย์คนอื่นๆ

มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลก

เป็นเชื้อเพลิงในการบิดแกนแม่เหล็กโลก

ให้เกิดการเหวี่ยงหมุนอย่างต่อเนื่อง

เพื่อช่วยให้โลกหมุนได้อย่างต่อเนื่อง

ในอันที่จะทำให้โลก จักรวาลและเอกภพ

มีความสมดุลอยู่ชั่วนิรันดร

 

เพราะพระองค์ประทานโอกาสอันยิ่งใหญ่

ให้จิตวิญญาณท่านข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์

พระองค์ประทานอาหาร น้ำดื่ม อากาศหายใจ

และแผ่นดินโลกอันสวยงามให้ท่านได้เหยียบยืน

โดยทรงทราบดีว่าลูกอย่างท่านทั้งหลาย

ต้องการสิ่งใดแบบไหนเพียงใดและเมื่อใด

พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้เสมอ

 

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" เช่นท่านทั้งหลาย

มีความสมบูรณ์พูนสุขกันโดยทั่วหน้า

สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรี

บนดาวเคราะห์โลกแห่งทางเลือกเสรีนี้ได้

ก็เพราะจิตวิญญาณของท่าน

รับการค้ำจุนและเกื้อกูลด้วยเมตตาจากพระบิดา

ในมิติที่สองตาเปล่าของท่านมองไม่เห็น

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ท่านคิดว่า

พระจิตวิญญาณของท่านเอง

คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่านมั้ยล่ะ?

 

เมื่อเรายกตัวอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มาให้ท่านทั้งหลายได้รู้ความจริงแล้ว

ใยจึงมิร้องขอสิ่งที่จำเป็นพิเศษ

ที่ท่านปรารถนาจากพระทั้ง 3 องค์นี้ล่ะ

หากยังคิดว่าพระทั้งสามองค์ของท่าน

มีเมตตาต่อท่านยังไม่ครบยังไม่พอ

 

เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามพระองค์

จะประทานสิ่งดีใดๆให้แก่ท่านได้เสมอ

โดยท่านไม่ต้องเซ่นไหว้เลย

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การกราบไหว้รูปปั้น

การกราบไหว้วัตถุมายา

การกราบไหว้วัตถุประหลาด

ฯลฯ

เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ที่จะดลบันดาลสิ่งที่ตนต้องการมาให้ได้

โดยได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างนั้น

สามารถอธิบายความให้เข้าใจได้ว่า

 

1. ได้ผลเพราะถึงวาระที่ตนจะได้รับสิ่งนั้น

ตามกฎแห่งการสะท้อนกลับอยู่พอดี

เคยทำสิ่งดีใดๆไว้ก็จักได้รับสิ่งนั้นเสมอ

 

2. ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง

เพราะรูปธรรมมายาที่ไปกราบไหว้ร้องขอนั้น

มีจิตวิญญาณบางรูปธรรมที่หลงมิติเร้นอยู่

ซึ่งจิตวิญญาณพวกนี้ต้องการกินสิ่งเซ่นไหว้

เช่น จำพวกของกินคาวหวานต่างๆ

เพราะจะมีความรู้สึกหิวโหยอยู่ตลอดเวลา

พวกนี้มิได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงแต่อย่างใด

จึงพยายามใช้พลังอำนาจเท่าที่มีอยู่

แสดงมายาให้มนุษย์เชื่อว่าตนศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อผู้คนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่กล้าจะคิดลบหลู่

ยังจะแห่กันไปพึ่งพาแสวงหาโชคลาภอีกด้วย

คนที่ไปกราบไหว้เซ่นสรวงทำพิธีร้องขอ

ก็จะนำเอาเครื่องเซ่นสรวงไปบูชา

พวกภูติผีเหล่านี้ก็จะได้กินเครื่องเซ่นแก้หิวฟรี

โดยที่พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย

เพราะไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยมนุษย์ได้

ขนาดช่วยเหลือตนเองก็ยังทำไม่ได้

แล้วยังจะสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้หรือ

 

เมื่อร้องขอแล้ว

ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ผลมากกว่าได้ผล

ส่วนที่ร้องขอแล้วได้ผลตามที่ร้องขอ

เพราะเป็นผลบุญกุศลเก่าที่คนๆนั้นเคยทำมา

ซึ่งถึงเวลาที่จะได้รับกลับคืนอยู่พอดีต่างหาก

 

ท่านสะกดคำว่า

"คนถูกผีหลอกรับทาน" เป็นมั้ย?

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

15-10-2019