#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มรรควิถีที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน
ในการเป็นคนสองมิติ
เพื่อจะเข้าถึงการเป็นมนุษย์ที่สมดุล
ก่อนการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณนั้น
ทุกวันนี้ท่านมีอยู่
2 ทางเลือกด้วยกัน คือ
#ทางเลือกแรก
เป็นการครองตนตาม
"มรรควิถีจิตจักรวาล"
บนเส้นทางของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ในบทบาทของฆราวาส
ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนที่มีครอบครัว
โดยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไปตามปกติ
แต่ปลายทางสุดท้าย
คือ "หลุดพ้น"
ออกไปจากอนันตจักรวาลหรือนิพพาน
สามารถกลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณได้
โดยไม่ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกอีก
หลักการดำเนินชีวิตมี
2 ประการก็คือ
#ประการแรก
ท่านต้องครองตนอยู่ใน
#มหาสติ
ครองเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลาในยามตื่น
การครอง
"มหาสติ"
หมายถึงการ
"บวชที่ใจ" ของท่านเอง
ด้วยการ
#รู้สติ #มีสติ และ #การใช้สติ
เพื่อยกระดับจิตสามนึกตนเองให้สูงขึ้น
ผ่านการนึกออกนึกเอาและนึกเองทางด้านบวก
สู่การหมุนธรรมจักรในตนเองตามวิถีธรรมชาติ
เพื่อการมีพฤติกรรมด้านบวกต่อคนรอบข้าง
ด้วยการทำให้คนรอบข้างตัวท่านเห็นว่า
ท่านเป็นคนที่มีคุณภาพอันควรคบไว้เป็นมิตร
#คนคุณภาพ
ในที่นี้เราหมายถึง
คนที่มีคุณสมบัติที่สำคัญ
3 ประการ คือ
1. เป็นคนฉลาด
2. เป็นคนเก่ง
3. เป็นคนดี
เมื่อท่านแสดงคุณสมบัติของคนคุณภาพได้
ก็จะช่วยคนอื่นๆให้หมุนธรรมจักรไปกับท่านด้วย
ซึ่งเป็นภารกิจหลักทางจิตวิญญาณของทุกๆคน
ที่ใครจะอ้างไม่รู้
ไม่จำ ไม่ทำ ไม่ได้!!!
#ประการที่สอง
ท่านต้องครองตนให้พระบิดาทรงเห็นว่า
ท่านเป็นผู้มี
"#ปณิธานแห่งการหลุดพ้น" ชัดเจน
ขณะใช้ชีวิตในสังคมร่วมกันกับคนรอบข้าง
ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะรักทุกคนทุกสิ่งให้ได้
ไม่ว่าใครคนนั้นจะทำตนไม่น่ารักไม่น่าคบก็ตาม
และในทางกลับกันตัวท่านเองก็จะต้อง
เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตนให้คนรอบข้างรักท่านให้ได้
โดยปฏิบัติตาม
#ParinyaModel ว่าด้วย
6 ถูก
คือ
ถูกคน ถูกวิธี ถูกที่ ถูกเวลา ถูกต้อง และถูกใจ
โดยพอจะสรุปได้ว่า
"ปณิธานแห่งการหลุดพ้น"
ที่ตั้งสัจจะแล้วจะละจะเลิกไม่ได้
ประกอบด้วยหลักปฏิบัติสำคัญ
4 ประการ คือ
1. ต้องรักตนเองและผู้อื่นให้ได้
อันเป็นความรักเพื่อให้มิใช่การรักเพื่อจะเอา
โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆในการให้ทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น
การอดทน
อดกลั้น และให้อภัย
ต่อความผิดบาปของผู้อื่นได้เสมอ
โดยไม่มีเงื่อนไขข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น
การมีจิตเมตตา
กรุณา และมุทิตา
เมื่อรู้เห็นความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่น
โดยไม่มีเงื่อนไขข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น
2. ต้องให้ผู้อื่นให้เป็น
อันเป็นการให้ทางกายภาพล้วนๆเลย
เช่น
ให้เวลา ให้โอกาส ให้ความรู้
ให้ทรัพย์สิ่งของ
ให้ผลประโยชน์ และอื่นๆ
ซึ่งเป็นการให้แล้วทำให้ใจท่านมีความสุข
และผู้ได้รับจากท่านก็มีความสุขไปด้วยกัน
คุณสมบัติที่กล่าวมาในข้อ
2 นี้
คือ การ
"บวชที่กาย" ทำให้คนรอบข้างแลเห็น
ที่จะช่วยให้พวกเขานอบน้อมประนมมือไหว้
แสดงความเคารพนับถือท่านได้จนสุดจิตใจ
จากพฤติกรรมแห่งการเป็นผู้ให้ของท่าน
และสิ่งดีๆที่ท่านเต็มใจหยิบยื่นให้คนรอบข้าง
3. ต้องไม่กระทำการก้าวล่วงใคร
ทั้งด้วยกาย
วาจา และจิตใจของท่าน
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาจงใจ
ไม่ว่าจะกระทำไปด้วยความขาดสติ
ไม่ว่าจะกระทำไปเพราะความประมาท
คำว่า "ก้าวล่วง"
หมายถึง
การก้าวก่ายหน้าที่รับผิดชอบของคนอื่น
จนสร้างความวุ่นวายสับสนต่อคนอื่นๆ
จนเป็นอุปสรรคในการสร้างสุขของคนอื่น
จนขัดขวางการสร้างความดีงามของคนอื่น
จนขัดขวางในการสร้างประโยชน์ของคนอื่น
อันนำไปสู่การเสียสมดุลทางจิตใจ
ทำให้คนรอบข้างของท่านหมุนธรรมจักรไม่ได้
กลายเป็นเหตุให้เขา
#หมุนกรรมจักร แทน
4. ต้องใช้ "จิตตปัญญา" ในการดำเนินชีวิต
ด้วยการสั่นสะเทือนสมองให้เกิดกระบวนการคิด
โดยใช้จิตสามนึกด้านบวกให้เป็น
ถ้าท่านฉลาดนึกตั้งคำถามตนเองได้
ก็ต้องฝึกใช้ปัญญาของสมองคิดในสิ่งที่นึกด้วย
มันจะช่วยให้ท่านก่อกรรมกระทำทุกสิ่ง
ที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามได้โดยไม่ก่อกรรม
จนต้องเกี่ยวเวรกรรมกับใครต่อใครให้ยุ่งเหยิง
เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่
#คิดดีแล้ว
ท่านเป็นผู้
#ตัดสินใจดีแล้ว ก่อนที่จะกระทำทุกสิ่ง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นมรรควิถีจิตจักรวาล
อันเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เสมือนการบวชทั้งใจและกาย
โดยไม่ต้องหาสถานที่ปลีกวิเวกไปจากสังคม
เป็นเส้นทางดำเนินของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เป็นมรรควิถีธรรมชาติที่กลมกลืนไปกับวิถีชีวิต
หญิงหรือชายเด็กสามขวบขึ้นไป
ก็ปฏิบัติตามมรรควิถีเหล่านี้ได้ไม่มีข้อยกเว้น
ที่สำคัญคือปฏิบัติได้โดยไม่ต้องแกล้งทำ
เป็นคนตาบอด
หูหนวก และเป็นใบ้แต่อย่างใด
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ในตอนต่อไปเราจะกล่าวถึง
แนวทางการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น
ตามวิถีแห่งนักบวชให้ท่านเรียนรู้กันว่า
มีความเหมือนในความต่าง
มีความต่างในความเหมือนกัน
กับมรรควิถีจิตจักรวาลอย่างไรบ้าง
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-10-2019