23 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คุณจะเดินตามคนนำทางตาบอดที่มองไม่เห็นไม่ได้

เพราะเขาสามารถจะนำพาคุณเดินหลงทิศผิดทาง

หรืออาจพาคุณย่างเดินอย่างสะเปะสะปะวกวนไปมา

ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาลงห้วยหรือพลัดตกลงไปในเหวลึก

ตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นหรือพลัดตกลงไปในบึงไฟก็ได้

โดยคุณจะไม่อาจถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้

เพราะคนนำทางเขามองไม่เห็นทางที่ย่างเดิน

 

ยิ่งถ้าพวกคุณอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจว่า

คนนำทางนั้นมีจิตใสใจสวยรวยบริสุทธิ์ดุจดั่งสีอาภรณ์

เห็นว่าเขามี “ไม้เท้า” ช่วยค้ำยันและคลำทางที่ย่างเดิน

เหมือนมีคัมภีร์ของพระศาสดาเป็นแผนที่เดินทางแล้ว

คุณจะเชื่อตามและก้าวเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ได้เลย

เพราะว่าไม้เท้าที่เห็นนั้นอาจเป็นไม้เท้าที่ผุพังเปราะบาง

ซึ่งคนนำทางจะยึดถือเป็นหลักอย่างมั่นคงถาวรก็ไม่ได้

โดยไม้เท้านั้นจะหักจนใช้การไม่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

ที่สำคัญก็คือ

ขณะที่คุณเองล้วนมีตาสองข้างที่ยังใช้การได้ดีอยู่

ตาคุณยังมิได้พิการอะไรมันยังมองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนอยู่

แต่กลับแสร้งทำเป็นหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดไป

โดยยอมย่างเดินในความมืดนั้นคุณว่าผิดธรรมชาติไหม

 

เพราะในยามปกตินั้น

แม้ว่าคุณจะจำทางที่จะไปไม่ได้ว่ามันต้องไปทางไหน

ในขณะที่คุณเลือกคนนำทางที่ไว้วางใจให้นำพาไป

ยังจุดหมายปลายทางที่คุณกำลังต้องการนั้นอยู่ก็ตาม

คุณยังจะต้อง “ลืมตา” คือเปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าไว้

แบบตาดูหูฟังปากถามเพื่อหาความเชื่อมั่นตลอดเวลาว่า

เส้นทางที่เขากำลังนำพาคุณไปนั้นมันใช่หรือไม่ใช่

จุดไหนไม่มั่นใจหรือสงสัยคุณก็จะเอ่ยปากถามทันที

ยิ่งถ้าถามแล้วเขาตอบคุณแค่ว่า “มันเป็นอจินไตย”

แปลว่าถ้าตอบคำถามนั้นแล้วคุณก็จะมีคำถามต่อไปอีก

มันจะเป็นคำถามที่ทำให้คุณยิ่งอยากรู้อย่างไม่รู้จบ

ซึ่งคนนำทางเองก็ตอบคุณไม่ได้เพราะเขาก็ตาบอดอยู่

จึงพยายาม “ตัดจบ” ด้วยคำว่าเป็นอจินไตยไปดื้อๆ

คุณจึงต้องเชื่อตามด้วยการก้าวตามเขาไปแบบ “งง-งง”

 

ลองไตร่ตรองดูก็ได้ว่าไม่มีใครหรอก

ที่จะเชื่อใจใครคนอื่นที่แปลกหน้าซึ่งขันอาสาพานำทาง

ด้วยการหลับหูหลับตาเชื่อตามก้าวตามเขาไปตลอด

โดยไม่เปิดตาเปิดใจเปิดหูและเปิดปัญญาที่ตนมีอยู่

เพื่อพิจารณาหาความถูกต้องป้องกันความผิดพลาด

คงยอมเชื่อตามทุกอย่างที่เขาพาทำพานำไปติดๆ

ผิดหรือถูกก็ไม่รู้ไปถูกทางอยู่หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไร

จะถึงปลายทางที่ตนต้องการจะไปเมื่อไหร่ก็ไม่ใส่ใจ

เมื่อตัดสินใจว่าจะก้าวตามคนนำทางตาบอดพวกนี้แล้ว

ก็จะยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคนพวกนี้อยู่อย่างไม่รู้ละวาง

 

เราจะชี้ชวนให้พวกคุณใช้สติปัญญาที่พอมีอยู่

ทำความเข้าใจความหมายของ “คนนำทางตาบอด” ว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ในความสัจจริงแล้วทรงหมายถึงใครหรือผู้ใดกันหนอ

เราจึงขอยกตัวอย่างสร้างคำอธิบายเอาไว้ในที่นี้ว่า

คนนำทางตาบอด” นี้เรามิได้หมายถึง #พระศาสดา

ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาหนึ่งใดเลย

 

แต่เราหมายถึง

ผู้ที่มีความเชื่อในพระศาสดาของศาสนานั้นๆ

เช่นเชื่อในพระพุทธเจ้าแต่เขาก็ยังเข้าไม่ถึงความจริง

ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศหลักสัจธรรมนั้นๆเอาไว้

โดยยึดความเชื่อในตัวอักษรที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

ทั้งๆที่พระศาสดามิได้ทรงบันทึกเอาไว้เองแต่อย่างใด

นานปีที่ผ่านมาสัจธรรมบางตอนมันก็สึกกร่อนไปบ้าง

ถูกศัตรูผู้ไม่ปรารถนาดีบิดเบือนและปิดบังคำสอนบ้าง

จนมันผิดเพี้ยนไปจากพระวจนะพระศาสดาเสียก็มาก

 

เมื่อคนพวกนี้ขันอาสามาแสดงบทบาทของครูผู้สอน

จึงพาผู้ก้าวตาม “หลงทำ” จนหลงทางย่างก้าวผิดทาง

เพราะคนนำทางผู้ขันอาสาเป็นครูเองไม่รู้ความจริงว่า

ที่ตนเรียนรู้มาไหนจริงไหนเท็จไหนถูกบิดเบือนไปบ้าง

เพราะคนนำทางเชื่อตามคัมภีร์ที่ศาสดามิได้บันทึกเอง

ส่วนผู้ตามก็เชื่อตามคนนำทางตาบอดนั้นอีกทอดหนึ่ง

จึงหลงทางนิพพานไปด้วยกันมาตราบจนกระทั่งบัดนี้

 

ดังนั้น

คนนำทางตาบอดผู้นำทางคนที่หลับตาก้าวตาม

จึงอยู่ในลักษณะของ “คนตาบอดนำทางคนตาบอด”

ทุกคนจึงเหมือนเดินกันอยู่ในท่ามกลางความมืด

หมายถึง “ปัญญามืดบอด” เพราะถูกความเชื่อครอบงำ

 

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ

คนนำทางตาบอดซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู

แต่ไม่รู้เห็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า

ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเยซูที่รับสื่อมาจากพระเจ้า

ไม่เห็นความสำคัญในการช่วยประกาศพระวจนะ

อันหมายถึงการแจกขนมปังของพระเจ้าให้แก่ชาวโลก

ที่ควรต้องกระทำในพระนามของพระเยซู เป็นต้น

 

นอกจากนั้น

คำว่า “คนนำทางตาบอด” พระเจ้าทรงให้เราหมายถึง

คนที่ปฏิบัติธรรมในแบบที่ผิดไปจากธรรมชาติ

คือการนั่งหลับตาเพื่อแสร้งทำเป็นคนตาบอดเทียม

การหนีเข้าป่าเข้าถ้ำเพื่อปิดวาจาและปิดหูเอาไว้

โดยแสร้งทำเป็นคนหูหนวกและเป็นดั่งคนใบ้

ยังผลให้อายตนะภายนอกทั้งห้าเสมือนว่าพิการไป

ทั้งๆที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้อายตนะทั้งห้า

เป็นหน้าต่างห้าบานเพื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า

จะได้กระตุ้นให้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ห้าขึ้นมาได้

 

ถ้ากลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าของพวกคุณ

มันพิการหรือมันมืดบอดจะยังผลให้ให้จิตหยาบ

สั่นสะเทือนขึ้นมาเป็น 5 ขั้นตอนที่เรียกว่าขันธ์ห้ามิได้

เพราะว่าขันธ์ห้าก็คือกระบวนการของ #คนสองมิติ

ที่ทำให้จิตหยาบยกระดับเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ

ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าจนเรียกว่า “มนุษย์” ได้

อีกทั้งถ้าคุณเป็นมนุษย์ได้ตามหน้าที่ของจิตวิญญาณ

ที่ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้ามาเกิด

คุณก็จะนำพาจิตวิญญาณของคุณหลุดพ้นกลับบ้านได้

ถ้าจะหลุดพ้นได้จิตหยาบคุณก็ต้องนิพพานก่อนตาย

นั่นคือ

 

1.ต้องนิพพานกิเลสมารให้หมดสิ้น

2.เมื่อนิพพานกิเลสได้กรรมทั้งหลายก็นิพพานด้วย

เพราะไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้เกิด “กรรม” อีกแล้ว

พวกคุณจะหมุนธรรมจักรร่วมกันได้ตลอดไป

 

3.เมื่อจิตหยาบนิพพานกรรมจากกฎแห่งกรรมสิ้นแล้ว

จิตวิญญาณของคุณก็จะนิพพานการมี “สังสารวัฏ” ได้

ไม่ต้องมีภพชาติไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

เพราะจิตวิญญาณมีหน้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลกเท่านั้น

มิได้มีมาเกิดเพื่อเป็นเทพเทวดาในภพภูมิสวรรค์มายา

มิได้อาสามาเกิดเป็น “สัตว์ประจำโลก” กันแต่อย่างใด

 

เมื่อคุณบรรลุธรรมตามข้อสามนี้แล้ว

จิตวิญญาณจึงจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้

โดยใช้ความรักเพื่อให้หรือใช้เมตตาธรรม #ค้ำจุนโลก

ด้วยการเปิดอายตนะภายนอกให้ทำงานร่วมกับจิตหยาบ

เพื่อร่วมกันหมุนธรรมจักรกับเพื่อนมนุษย์ทุกคนให้สำเร็จ

ภายในกำหนดเวลา 6 หมื่นปีโลกโดยไม่มีหน้าที่ตาย

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

เป็นความจริงของจิตวิญญาณพวกคุณ

ที่ขันอาสามาเกิดจักต้องทำให้สำเร็จตั้งแต่ชาติแรกแล้ว

นับว่าโชคดีที่โลกสิ้นยุคพลังงานเก่ามา 800 กว่าปีแล้ว

พวกคุณยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะเป็นมนุษย์กันให้ได้

โดยจะต้องเร่งนิพพานกิเลสเพื่อนิพพานกรรมของคุณ

ให้เหลือ 30% ของที่มีอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนวันที่โลกจะมืดนาน 8 ราตรีพร้อมกันทั้ง 8 ทิศ

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

23/01/2024