พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ได้ทรงออกแบบและกำหนดให้มีเหมือนกันเท่ากันทุกคน
โดยทรงติดตั้งไว้ให้ตั้งแต่ได้รับโอกาสมาเกิดในชาติแรก
#อำนาจในตนเอง ของพวกคุณนั้นในที่นี้เราหมายถึง
อำนาจทางจิตและอำนาจทางปัญญาของสมองสองซีก
“อำนาจทางจิต” หมายถึง
#ประการที่หนึ่ง คือ
ความสามารถในการใช้ “จิตสามนึก” ประกอบด้วย
1.#นึกออก คือ จำในสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้
2.#นึกเอา คือ ฉุกคิดถึงเรื่องใหม่สิ่งใหม่ในปัจจุบันขณะ
3.#นึกเอง คือ การคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น
ด้วยการฟันธงว่าเขาต้องนึกคิดอย่างนั้นอย่างนี้แน่นอน
#ประการที่สอง คือ
ความฉลาดในการใช้จิตสามนึก
เนื่องจากจิตมนุษย์มีอยู่ด้วยกันถึง 3 นึก
ซึ่งปกติแล้วมันจะนึกนั่นนึกโน่นนึกนี่อยู่ตลอดเวลา
จะหยุดนึกก็ต่อเมื่อสมองซีกซ้ายจะไร้สำนึกคือจะหลับ
แต่จิตทั้งสามนึกมีหน้าที่กำหนดสั่งการให้สมองคิด
หากคุณปล่อยให้มันนึกสะเปะสะปะโดยไม่กำหนดนึก
โดยไม่เลือกเสียให้ชัดเจนก่อนว่าจะใช้นึกตัวไหน
ระหว่างนึกออก นึกเอา และนึกเองก็ต้องเจาะจงด้วย
อีกทั้งสิ่งที่นึกออกนึกเอาและนึกเองนั้นก็มีหลายเรื่อง
จึงต้อง “ฉลาดเลือก” เรื่องที่นึกอยู่นั้นสั่งให้สมองคิด
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานของจิตกับสมอง
คุณยังจะต้อง #นึกทีละเรื่องเพื่อคิดทีละเรื่อง อีกด้วย
เพราะจิตกับสมองทำหน้าที่พร้อมกันหลายเรื่องไม่ได้
“อำนาจทางปัญญา” หมายถึง
ความฉลาดในการใช้ปัญญาของสมองทั้งสองซีก
ถ้าคุณมีความฉลาดทางจิตในสองประการได้แล้ว
ความฉลาดในการใช้ปัญญาของสมองก็ไม่ยากเลย
เพียงแต่คุณจะต้องครอง #มหาสติ เอาไว้ให้มั่นคง
แปลว่าจิตของคุณจะต้องมีอำนาจเหนือกิเลสมารด้วย
มิใช่ฉลาดแค่การรู้จักกำหนดนึกเรื่องที่จะคิดเท่านั้น
เพราะถ้าจิตคุณยังเป็นทาสของกิเลสในปัจจุบันขณะ
มันจะทำให้อำนาจในการนึกของคุณนั้นบิดเบือนเสมอ
เช่น ถ้าคุณสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเรื่องใดแล้วเกิดพึงพอใจ
จิตของคุณก็จะนึกบวกต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นเสมอ
แต่ถ้าคุณสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเรื่องใดแล้วไม่พึงพอใจ
จิตของคุณก็จะนึกลบต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นเช่นกัน
จะยังผลให้การมองโลกของคุณผิดเพี้ยนไม่ตรงจริง
เพราะกิเลสมันชักพาให้เห็นไปเป็นอย่างอื่นเสียแล้ว
ความฉลาดในการใช้ปัญญาของสมองประการต่อมา
คือต้องคิดเฉพาะเรื่องที่คุณกำหนดนึกเอาไว้แล้วนั้น
ด้วยการคิดทีละเรื่องและคิดให้สุดจนกว่าจะได้คำตอบ
ซึ่งต้องคิดให้ต่อเนื่องโดยไม่เปลี่ยนเรื่องที่จะคิดด้วย
ไม่ว่าคุณจะต้องใช้เวลาในการคิดเรื่องนั้นนานเท่าใด
คุณจะต้องไม่เลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคันเด็ดขาด
คุณสมบัติของคนฉลาดคิดที่ว่านี้คือการเป็นผู้มีสมาธิ
โดยสามารถอยู่กับสิ่งที่คิดหรือทำอย่างจดจ่อได้ตลอด
นอกจากนั้น
ความฉลาดในการใช้ปัญญาของสมองเพื่อการคิดรู้นั้น
คุณจะต้องเรียนรู้ไว้ก่อนว่าถ้าต้องการรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
คุณก็จะต้องกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายให้เป็นให้จงได้
เพราะสมองซีกซ้ายมีความฉลาดที่เรียกว่า #สติปัญญา
ให้ใช้คิดวิเคราะห์เพื่อคัดแยกเอากากออกจนเหลือเนื้อ
โดยมีหลักการและเหตุผลเป็นเครื่องมือสำคัญที่ต้องใช้
เนื้อที่คัดแยกออกมาได้ก็คือคำตอบที่เป็นสาระนั่นแหละ
เมื่อได้คำตอบที่เป็นสาระนั้นมาเรียบร้อยแล้ว
หากต้องการนำมันไปใช้เป็นอาหารของจิตวิญญาณ
เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น
คุณก็ต้องฉลาดที่จะนำวัตถุดิบนั้นมาปรุงเป็นอาหาร
โดยใช้แสงสว่างทางปัญญาที่ได้จากสมองซีกขวา
ทำการสังเคราะห์วัตถุดิบที่คุณคิดหามาไว้แล้วนั้น
ซึ่งคุณต้องคิดให้เป็นภาพตามที่สมองซีกขวาถนัด
ในลักษณะการใช้สมองคิดแบบ #ศิลปิน นั่นเอง
การคิดแบบศิลปินมีลักษณะดังนี้คือ
1.ไม่ตีกรอบการคิดในแบบที่เคยชิน
2.ไม่ยึดติดสิ่งเดิมๆหรือของเดิมๆ
3.เพลิดเพลินไปกับการคิดนั้น
4.สิ่งที่ตนคิดนั้นต้องไม่กังวลว่าผิดหรือถูก
5.คิดได้แล้วต้องเป็นประโยชน์ต่อโลกเท่านั้น
6.สิ่งที่คิดนั้นทุกคนต้องยอมรับว่าเป็นจริงได้
ตัวอย่างเช่น
เมื่อคุณมองเห็นใบไม้ที่มีเส้นใบเต็มไปหมด
โดยพบว่าทุกเส้นจะแยกตัวออกไปจากเส้นกลางใบ
เส้นที่แยกตัวออกไปทุกเส้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงขอบใบ
ไม่มีเส้นไหนที่แยกตัวออกไปแล้วไปหยุดอยู่กลางใบ
ไม่มีเส้นไหนที่แยกตัวออกไปแล้ววกกลับมาทางเดิม
ทุกเส้นที่แยกออกจากกลางใบนั้นจะมีเส้นแขนงด้วย
เส้นแขนงจะเส้นเล็กกว่าเส้นที่แยกจากเส้นกลางใบ
เส้นแขนงเล็กๆทั้งหลายมันจะเชื่อมโยงกันกับเส้นหลัก
ที่แยกตัวออกมาจากเส้นกลางใบอีกด้วย
จากความจริงที่สังเกตพบดังกล่าวทำให้คุณคิดได้ว่า
พระบิดาทรงกำหนดให้ใบไม้สีเขียวใช้สังเคราะห์แสง
ก็ไม่ต่างจากทรงกำหนดให้ “สมองสองซีก” ซ้ายขวา
มีเส้นทางการคิดหนึ่งเส้นต่อหนึ่งเรื่องที่ต้องคิด
เมื่อคุณคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วจะต้องคิดให้สุดทาง
ไม่คิดซ้ำซากหรือไม่คิดยอกย้อนจนเกิดการสับสน
คุณอาจคิดเชื่อมโยงเรื่องหนึ่งเข้ากับอีกเรื่องหนึ่งก็ได้