พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
“ธรรมชาติ คือ ทุกข์” โดยอ้างว่า
เพราะธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
โดยทุกสรรพสิ่งล้วนมีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป
จึงสรุปว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้คงทนแน่นอน
ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งสิ้น
จนเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า #ไม่มีสิ่งใดอยู่ค้ำฟ้า
แล้วปิดท้ายว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดาไปโน่น
คนนำทางตาบอดที่ถูก “ผีโสโครก” หลอก
จึงใช้ข้อคิดเห็นที่เรากล่าวข้างต้นนั้นมาเป็นข้ออ้าง
เพื่อใส่รหัสข้อมูลที่บิดเบือนว่า #ธรรมชาตินั้นคือทุกข์
แล้วนำคำกล่าวที่มีลับลมคมนัยนี้บิดเบือนต่อไปอีกว่า
1.การเรียนรู้ทุกข์คือการเรียนรู้ธรรมชาติ
2.การเห็นทุกข์คือการเห็นธรรมชาติ
3.การรู้เห็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญาเพื่อหาทางพ้นทุกข์
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เพราะคนนำทางตาบอดไม่รู้จักพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พวกเขาจำพระองค์ไม่ได้จึงไม่รู้อนุตรธรรมความจริงว่า
จิตวิญญาณของตนและของพี่น้องชาวดาวโลกทุกคนนั้น
เป็นใคร? มาจากไหน? มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม?
ใครอนุญาตให้มา? เมื่อมาแล้วต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง?
คนพวกนี้จึงสรุปเอาเองง่ายๆว่า “ธรรมชาตินั้นคือทุกข์”
ซึ่งแปลความหมายได้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นทุกข์”
โดยคนพวกนี้พากันบิดเบือนคำกล่าวของพระพุทธเจ้า
ที่ทรงเคยตรัสเอาไว้แล้วว่า #ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
อันเป็นการกระทำที่บังอาจตีตนเสมอพระศาสดาเสียเอง
ด้วยการด้อยค่าพระองค์ให้เสมอกับตัว “ทุกข์” แทน
โดยที่พระพุทธองค์มิได้ตรัสสอนไว้แบบนี้แต่อย่างใด
มีคนนำทางตาบอดกรรมกรของผีโสโครกเท่านั้นที่สอน
ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองที่เขาไม่รู้พากันเชื่อตามกันมา
ซึ่งเป็นการสอนที่ไม่ถูกต้องคือ #เห็นทุกข์แล้วเห็นธรรม
ทั้ง ๆที่น่าจะเป็นว่า #เห็นทุกข์แล้วเห็นเท็จ เสียมากกว่า
ที่เรากล่าวว่าเห็นทุกข์แล้วเห็นเท็จก็เพราะว่า
“ความทุกข์” ที่เกิดจากการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปนั้น
มันเป็นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งของพระเจ้า
ที่มีกฎใหญ่ซึ่งเป็นกฎหลักของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้
ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ใน “ห้องทดลองขนาดใหญ่” นี้
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนามว่า #ระบบเอกภพ นั่นเอง
เพราะ “ระบบเอกภพ” หมายถึง
ทุกสรรพสิ่งภายในห้องทดลองของพระองค์นี้
ล้วนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันและสมดุลกันอยู่ตลอดเวลา
โดยมีแรงดึงดูดคือความรักเพื่อให้เหนี่ยวรั้งกันและกันไว้
ให้ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลตลอดเวลาตราบนิรันดร์
ตัวอย่างของรักเพื่อให้เช่นโลกกับดวงจันทร์
พระองค์ทรงกำหนดให้โลกมีมวลมากกว่าดวงจันทร์
ยังผลให้โลกมีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งมากกว่าดวงจันทร์
แต่ในทางปฏิบัติจริงโลกจะออกแรงเหนี่ยวรั้งดวงจันทร์ไว้
ในสัดส่วนแรงดึงดูดที่เท่ากันกับแรงดึงดูดของดวงจันทร์
ที่ส่งแรงออกมากระทำต่อดาวโลกเท่านั้นเอง
โดยโลกจะไม่ออกแรงดึงดูดดวงจันทร์อย่างเต็มเหนี่ยว
เพราะตัวเองมีพลังแห่งแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งที่มากกว่า
คำว่า “รักเพื่อให้” จึงหมายถึง
การออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งดวงจันทร์ที่เป็นผู้น้อย
ในระดับที่ดวงจันทร์ซึ่งเป็นผู้น้อยพอดีที่จะตั้งรับไหว
แปลว่าโลกจะไม่ออกแรงกระชากดวงจันทร์เข้ามาหา
เพราะมวลใหญ่กว่าตัวโตมากกว่ามีพลังแรงมากกว่า
โดยโลกจะคำนึงถึงความสมดุลร่วมกันเป็นสำคัญ
ถ้าโลกมีแรงดึงดูดมากเท่าไหร่แล้วนำมาใช้จนสุดพลัง
ทั้งโลกเองและดวงจันทร์ก็จะถึงกาลวิบัติเป็นแน่นอน
เพราะทั้งสองดวงจะเกิดการชนกันกระทบกระแทกกัน
จนแตกดับกันไปข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเลย
ซึ่งพระเจ้าจะทรงยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้
นี่จึงเป็นที่มาของสัจธรรมที่ว่า #การรู้จักรักรู้จักให้
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
การนำความจริงของสรรพสิ่งในธรรมชาติของพระเจ้า
มาอ้างว่า “การเปลี่ยนแปลง” ของธรรมชาตินั่นคือทุกข์
จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
ในจักรวาลอันไพศาลนี้
ทุกสิ่งอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างสมดุลกันในทุกมิติอยู่
ถ้าตรงพิกัดใดในเอกภพอันไพศาลนี้มีพลังงานเพิ่มขึ้น
มันก็จะมีจุดใดจุดหนึ่งที่มีพลังงานลดลงเสมอ
เมื่อมีใครหรือสิ่งใดล้มตายหายไปจากระบบ
ในระบบย่อมจะต้องมีใครหรือสิ่งใดเพิ่มขึ้นมาทดแทน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของพระเจ้า
ตามกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสิ่งในเอกภพ
การเกิดแก่เจ็บตายของพวกคุณที่เป็นความทุกข์
เพราะคุณเกิดแล้วไม่อยากแก่ชราไม่อยากเจอปัญหา
ไม่อยากเจ็บปวดป่วยไข้ไม่อยากตายไปจากโลกนี้เลย
ความไม่อยากดังกล่าวเหล่านี้มันคือการปรุงแต่งของจิต
จนเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาในสภาวะจิตหยาบของพวกคุณ
โดยที่คำว่า “ทุกข์” มันเป็นอาการหนึ่งของจิตเท่านั้น
มันคือคำที่สมมุติขึ้นมาใช้เรียกอาการของจิตเท่านั้นเอง
ซึ่งเราเคยแปลความให้รู้มาแล้วว่าทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก
หรือคำว่า “ทุกข์มาก” ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วยากที่จะทน
คุณจงรับรู้เอาไว้ด้วยว่าความทุกข์ในธรรมชาตินั้น
แท้จริงแล้วมันไม่มีอัตตาตัวตนแท้จริงอยู่แต่อย่างใด
เรื่องของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปคือ #กฎแห่งอนิจจัง
ความทุกข์ของพวกคุณนั้นเป็นแค่อาการของจิตหยาบ
เป็นความรู้สึกที่เป็นกิเลสมารซึ่งแฝงอยู่ในจิตคุณเท่านั้น
ถ้าเป็นธรรมชาติของพระเจ้าที่ทรงสร้างไว้จริงแล้ว
พวกคุณจะต้องใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าสัมผัสรู้มันได้
มิใช่รับรู้ได้ด้วย #การรู้สึก ซึ่งจิตปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
เราจึงขอยืนยันว่า #ความทุกข์นั้นไม่มีอัตตาตัวตนจริง
จงอย่าถูกหลอกจากการที่พวกเขา
ยกเอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาเอ่ยอ้าง
เพราะ #โลกียธรรม บทนี้นั้นพระศาสดาทรงหมายถึง
อาการของจิตที่มีสามตัวนึกของพวกคุณนั่นแหละ
เมื่อสัมผัสรู้สิ่งใดแล้วก็จะสั่นสะเทือนเป็น 5 ขั้นตอน
ซึ่งพวกคุณเรียกว่า “ขันธ์ห้า” ของจิตหยาบนั่นแหละ
ประกอบด้วยรูปขันธ์เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์
และวิญญาณขันธ์อันเป็นขั้นตอนที่ห้าขั้นสุดท้าย
เมื่อจิตรับรู้รูปธรรมหรือนามธรรมของสิ่งใดเข้า
ผลของการรับรู้สิ่งนั้นที่เกิดขึ้นในจิตถ้าคุณไปยึดติดมัน
ทั้งนามรูปหรือรูปธรรมของสิ่งนั้นก็จะเกิดอัตตาตัวตนขึ้น
โดยคำว่า “อัตตาตัวตน” ของสิ่งนั้นมันจะเกิดในจิตคุณ
มิใช่ตัวตนแท้จริงซึ่งเป็น “มายา” ของสิ่งนั้นที่ทรงสร้าง
ซึ่งคุณสามารถสัมผัสรู้มันได้ด้วยอายตนะภายนอกอยู่
เพราะเหตุนี้เองความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตคุณ
หากไปหลงยึดติดมันเข้าก็จะมีอัตตาตัวตนขึ้นมาทันที
พระพุทธเจ้าจึงจัดให้ความรู้สึกพวกนี้เป็นหนึ่งในนามรูป
ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้ามิได้ทรงสร้างแต่จิตคุณสร้างกันเอง
โดยสร้างขึ้นด้วยวิธี “ยึดติด” กับการอยากหรือไม่อยาก
เช่น การไม่อยากทุกข์ หรือ อยากมีความสุข เป็นต้น
แม้กระทั่งเย็นร้อนที่ไม่มีตัวตนแท้จริงแต่อย่างใดเลย
มันเป็นแค่เพียงคุณสมบัติที่เป็นมายาของสิ่งนั้นเท่านั้น
ถ้าคุณไปยึดติดมันอัตตาของสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นมาทันที
โดยอัตตาตัวตนของสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในจิตของคุณเอง
เกิดมีตัวตนขึ้นเพราะชอบไม่ชอบเพราะอยากไม่อยาก
ซึ่ง “กิเลสและตัณหา” เป็นตัวต้นเหตุนั่นเอง
แน่นอนว่า
เมื่อจิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนเพื่อรับรู้สิ่งเร้านั้นแล้ว
จิตก็จะสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #อนิจจังไม่เที่ยง เพราะไม่นิ่ง
ซึ่งเป็นอาการของจิตในมิติแก่นแท้มิใช่มิติทางกายภาพ
ตามที่คนนำทางตาบอดตีความบิดเบือนให้เข้าใจผิดไว้
สำหรับคำว่า #ทุกขัง หรือ คำว่า “ทุกข์” นั้น
ทรงหมายถึงอาการของจิตหยาบที่แรกเริ่มเดิมทีสงบอยู่
แต่หลังจากเกิดการรับรู้แล้วรับเอามาปรุงแต่งนั้น
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนไปตามความรู้สึกที่เป็นกิเลส
ทำให้จิตเดิมที่สงบเพราะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูง
เกิดการ “จิตตก” คือสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำแทน
นี่จึงเป็นที่มาของคำกล่าวของพระองค์ที่ว่า “ทุกขัง”
โดยเป็นสภาวะจิตที่เกิดทุกข์ขณะสั่นสะเทือนขันธ์ห้า
ทุกข์เพราะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำของกิเลส
ทุกข์เพราะเกิดการยึดติดอัตตาตัวตนขึ้นที่ในจิตคุณเอง
ส่วนใหญ่พวกคุณเมื่อเกิดสภาวะจิตเช่นว่านี้แล้ว
จะเกิดอาการทุรนทุรายเพราะทนสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตมิได้
ยิ่งถูกพวกผีโสโครกหลอกว่ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วทุกข์
สู้ไปเกิดเป็นเทพเทวดาอยู่บนสวรรค์มายาประเสริฐกว่า
เพราะอยู่บนนั้นจะเป็นจิตวิญญาณที่ไม่ต้องทำอะไร
อยู่วิมานทิพย์ในเมืองแก้วแล้วกินทิพย์อิ่มทิพย์อีกด้วย
โดยไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกให้ต้องทุกข์อีก
ซึ่งพวกมารหลอกไว้ว่าอยู่บนนั้นคือ #นิพพานแล้ว
ทั้ง ๆที่กระบวนการ 5 ขั้นตอนคือขันธ์ห้าสิ้นสุดเมื่อไหร่
คำว่าอนิจจังและทุกขังสองขั้นตอนที่ว่านี้มันก็จะจบลง
คือจะมีแต่เพียง #อนัตตา คือในจิตจะไม่เหลืออะไรอีก
โดยคำว่า “อนัตตา” หมายถึงกระบวนการของคนสองมิติ
ที่สั่นสะเทือนเป็นขันธ์ห้านั้นมันจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ
เพราะจิตหยาบผลิตพลังงานในมิติแก่นแท้ออกมาแล้ว
กระบวนการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าในกรณีนั้นสิ้นสุดไปแล้ว
จิตหยาบของคุณก็จะเกิดอาการสงบเป็นปกติดังเดิมได้
จนกว่าคุณจะหยิบเอาการรับรู้เรื่องอื่นมาสั่นสะเทือนต่อ
สภาวะจิตคุณก็จะมีอนิจจังทุกขังอนัตตาที่ว่านี้ต่อไปอีก
เราบอกหลายครั้งแล้วว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกคุณที่ได้รับโอกาสมาเกิดนี้
พระเจ้าทรงกำหนดให้ทำหน้าที่ประจำกันอยู่ในระบบโลก
โดยจิตวิญญาณพวกคุณไม่มีหน้าที่ต้องตายไปจากโลก
ไม่มีหน้าที่ต้องไปเกิดอยู่ในสังสารวัฏกันเลยสักนิด
จิตวิญญาณพวกคุณได้รับโอกาสให้มีชีวิตนานหกหมื่นปี
จนตราบเท่าที่โลกสิ้นยุคพลังงานเก่ากันเลยทีเดียว
ลองไปคิดกันเองดูก่อนก็ได้ว่าทำไมพวกคุณจึงต้องตาย
เพราะพวกคุณผิดต่อพันธะสัญญา 6
ที่จิตวิญญาณเคยให้ไว้ต่อพระเจ้ากันใช่หรือไม่
เพราะสภาวะจิตเสื่อมกายสังขารเสื่อมใช่หรือไม่
เพราะคนตนเองในสองมิติให้เป็นมนุษย์ไม่เป็นใช่ไหม
เพราะจำบ้านเกิดเมืองนอนและผู้ให้กำเนิดของตนไม่ได้
เพราะจำทางกลับบ้านไม่ได้ไม่รู้ว่าจะกลับไปทางไหน
เพราะถูกหลอกให้หลงทางนิพพานด้วยการปีนรั้วเข้าคอก
ฯลฯ
ถึงเวลา “ตื่นรู้” กันจริงๆได้หรือยัง