29 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การปฏิบัติ #ธรรม กับการปฏิบัติ #ทำ ไม่เหมือนกัน

เพราะคำว่า “ธรรม” คือตัวแทนของคำว่า “ธรรมชาติ”

โดยธรรมชาติก็คือสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่แสดงอยู่ดำรงอยู่

รายรอบตัวคุณซึ่งพระผู้สร้างทรงออกแบบกำหนดไว้

อันเป็นคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้ในแต่ละสรรพสิ่ง

ซึ่งแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นมิติแห่งมายาภายนอก

ที่พวกคุณสามารถใช้กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นได้

 

ตัวอย่างเช่น

ปกติแล้วน้ำในธรรมชาติจะมีคุณสมบัติเป็นของเหลว

แต่เมื่อน้ำนั้นมีอุณหภูมิลดต่ำลงกว่าสี่องศาเซลเซียส

น้ำก็จะเริ่มเย็นลงจนส่วนพื้นผิวจะเริ่มเย็นเป็นน้ำแข็ง

 

สภาวะธรรมบทนี้ก็คือ

ถ้าจิตใจคุณที่เป็นพลังงานซึ่งไม่ต่างจาก “น้ำ”

สามารถรักษาความสงบเยียบเย็นเอาไว้ข้างในได้แล้ว

มายาของจิตซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ของตัวคุณเอง

ในปัจจุบันขณะที่มันจะสำแดงออกมาหรือปรากฏให้เห็น

จะเป็นลักษณะอาการของคนที่สุขุมสงบเยือกเย็น

 

ในทางกลับกันถ้าจิตใจคุณ

ตกเป็นทาสการถูกยั่วยุหรือถูกกวนให้ขุ่นและทำให้ร้อน

มันก็จะเกิดอาการไม่ต่างไปจากน้ำที่ปกติเป็นของเหลว

ที่ถูกต้มด้วยไฟร้อนจนเกิดอาการ “เดือดพล่าน” รุนแรง

อาการที่จิตเดือดพล่านก็คือการเสียสมดุลไปในทางต่ำ

 

คำว่าเสียสมดุลไปในทางต่ำหมายถึง

จิตที่เป็นพลังงานนั้นจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

ซึ่งความถี่จะต่ำลงจากสภาวะปกติคือความสงบไปทันที

โดยจิตที่สั่นสะเทือนย่านความถี่ต่ำหรือ #จิตตก นั้น

มันคืออาการของคนที่กำลังปากสั่นมือสั่นหรือเนื้อตัวสั่น

คล้ายรถยนต์ที่เกิดอาการสั่นเพราะเครื่องยนต์ “รอบต่ำ”

จนต้องปรับจูนรอบเครื่องยนต์คันนั้นใหม่ให้สูงขึ้นนั่นเอง

อาการเครื่องสั่นรถยนต์สั่นนั้นมันจึงจะสมดุลตามปกติได้

 

สำหรับพวกคุณที่เป็น “คนสองมิติ” ก็เช่นกัน

หากเกิดอาการจิตตกเพราะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

คุณก็ต้องยกระดับจิตหยาบในปัจจุบันขณะให้สูงขึ้นทันที

เพื่อค้ำจุนความสมดุลของจิตเอาไว้ให้มั่นคงให้จงได้

โดยจิตจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าที่ทำให้จิตร้อน

เพราะถ้าจิตร้อนจนถึงจุดเดือดหรือจุดที่ “ควันออกหู” แล้ว

ความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นนั้นมันสามารถเผาทำลายทุกสิ่งได้

ซึ่งอาการแบบนี้แหละที่พวกคุณเรียกว่า #เกิดโทสะจริต

ที่ทำให้พวกคุณเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายจนฆ่ากันตายได้เลย

 

ที่เป็น “สัตว์ร้าย” เพราะใช้สัญชาตญาณความก้าวร้าว

ขับเคลื่อนพฤติกรรมในสองมิติด้วยจิตหยาบที่คุณมีอยู่

เพราะเข้าถึงความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งสองซีก

และเข้าถึง “ความรักเพื่อให้” ในแบบของพระเจ้าไม่ได้

ซึ่งพวกคุณถูกออกแบบให้เป็น “มนุษย์” ผู้ที่มีจิตใจสูง

จึงแตกต่างจากสัตว์ประจำโลกอยู่หลายขั้นหลายขุมเลย

คำว่า “จิตใจสูง” แปลว่า คิดรู้เองได้ตามที่จิตกำหนด

โดยจิตจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงกว่าสัตว์ได้ตลอด

นั่นคือสามารถที่จะรักเพื่อให้ได้ตามสัญชาตญาณของตน

รวมทั้งยังสามารถจะรักได้จากการใช้เหตุผลด้วยเช่นกัน

ซึ่งสัตว์ประจำโลกทั้งหลายมันรักด้วยเหตุผลกันไม่เป็น

พวกเขาจะรักกันได้ก็ด้วยสัญชาติญาณเท่านั้นเอง

 

ดังนั้น

ถ้าพวกคุณรู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของตัวคุณเอง

ข้นอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้ามาเกิด

เพื่อทำหน้าที่ “คนตนเอง” ทั้งสองมิติให้เป็น #มนุษย์

ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบกับแก่นแท้

ที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้แล้ว

พวกคุณก็ต้องกระทำผ่าน #การหมุนธรรมจักรร่วมกัน

 

การเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรในตนเอง

รวมทั้งการเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรร่วมกัน

โดยใช้ชีวิตในสังคมแบบคนตาดีหูดีปากดีไม่ปลีกวิเวก

จึงจะเรียกว่าเป็นการ “ปฏิบัติธรรม” ที่ถูกต้องตรงจริงได้

เพราะคำว่า “ธรรม” ที่คุณปฏิบัติในการหมุนธรรมจักรนั้น

หมายถึง “ธรรมชาติ” ตามแบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้

มิใช่ธรรมวิปริตที่คนนำทางตาบอดถูกมอดมารหลอกลวง

จนยังผลให้คุณ “หลงทางนิพพาน” แบบ #ตาลยอดด้วน

มาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งนับได้หลายพันปีผ่านมาแล้วนั่นแหละ

คำว่า “ปฏิบัติธรรม” จึงเพี้ยนไปเป็น “ปฏิบัติทำ” แทน

 

เพราะคนนำทางตาบอดสาวกของมาร

ชักชวนพวกคุณที่เป็นคนชอบ “ธรรม” ให้ทำตามตัวบท

ที่พวกตนกำหนดมันขึ้นมาเองด้วยการบิดเบือนพระวจนะ

เช่น สอนให้บวชที่กายภายนอกมากกว่าสอนให้บวชที่ใจ

สอนให้ฝักใฝ่พิธีกรรมมากกว่าจะให้แสงสว่างทางปัญญา

ด้วยการจูงใจเพื่อชวนให้เชื่อตามให้ท่องธรรมเพื่อทำตาม

โดยห้ามคิดตามห้ามถามห้ามสงสัยให้เชื่อตามสถานเดียว

ซึ่งมีคำฮิตติดหูหรูดูเริ่ดว่า “ปัจจัตตัง” กับ “อจินไตย”

ที่คนนำทางตาบอดใช้ในกรณีที่ตนอธิบายมันไม่ได้เสมอ

 

ส่วนคำว่า “ทำ” นั้นเป็นตัวแทนของคำว่า “ธรรมดา”

เพราะที่มาของสัจธรรมที่พวกคุณถูกชวนให้ปฏิบัติตามนั้น

มิได้เป็นหลักสัจธรรมแท้จริงจากธรรมชาติของพระเจ้า

มิได้เกิดจากการเข้าถึงความจริงของพระองค์ด้วยความรัก

กับความฉลาดของจิตตปัญญาที่ทรงติดตั้งเอาไว้ให้แล้ว

แต่เป็นการทำตามความเชื่อในความรู้ที่ไม่ตรงจริง

เพราะถูกบิดเบือนและปิดบังความจริงนั้นเอาไว้นั่นเอง

 

จิตวิญญาณพวกคุณคือฝูงแกะจึงติดค้างกันอยู่ในเอกภพนี้

ไม่สามารถผ่านประตูคอกกลับไปหาผู้ให้กำเนิดของตนได้

เพราะจำทางกลับคอกไม่ได้และจำผู้ให้กำเนิดของตนมิได้

เชื่อกันว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของตน

เพราะไม่รู้ว่าธรรมชาติของตนนั้นเมื่อมาเกิดแล้วไม่ต้องตาย

 

เชื่อว่า “ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างสวรรค์มายาเบื้องบน”

เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนนั้นมีสวรรค์นิรันดรอยู่แล้ว

พวกตนขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีกันเท่านั้น

มิได้มีหน้าที่มาสร้างสวรรค์วิมานอะไรแข่งกับพระเจ้ากันอีก

ธรรมชาติคือการมาเกิดเพื่อสร้างตนเองให้สมดุลเท่านั้น

เพราะถ้าตนเองสมดุลโลกและเอกภพทั้งระบบก็สมดุล

ซึ่งความสมดุลจะเกิดได้พวกคุณก็ต้องปฏิบัติธรรม

นั่นคือธรรมะที่เป็น “ธรรมชาติ” มิใช่ “ทำ” ที่เป็นธรรมดา

ตามการชี้นำของ “คนนำทางตาบอด” ผู้ไม่รู้ทันผีโสโครก

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

29/01/2024