#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การปฏิบัติ
#ธรรม กับการปฏิบัติ
#ทำ ไม่เหมือนกัน
เพราะคำว่า
“ธรรม” คือตัวแทนของคำว่า “ธรรมชาติ”
โดยธรรมชาติก็คือสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่แสดงอยู่ดำรงอยู่
รายรอบตัวคุณซึ่งพระผู้สร้างทรงออกแบบกำหนดไว้
อันเป็นคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้ในแต่ละสรรพสิ่ง
ซึ่งแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นมิติแห่งมายาภายนอก
ที่พวกคุณสามารถใช้กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นได้
ตัวอย่างเช่น
ปกติแล้วน้ำในธรรมชาติจะมีคุณสมบัติเป็นของเหลว
แต่เมื่อน้ำนั้นมีอุณหภูมิลดต่ำลงกว่าสี่องศาเซลเซียส
น้ำก็จะเริ่มเย็นลงจนส่วนพื้นผิวจะเริ่มเย็นเป็นน้ำแข็ง
สภาวะธรรมบทนี้ก็คือ
ถ้าจิตใจคุณที่เป็นพลังงานซึ่งไม่ต่างจาก
“น้ำ”
สามารถรักษาความสงบเยียบเย็นเอาไว้ข้างในได้แล้ว
มายาของจิตซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ของตัวคุณเอง
ในปัจจุบันขณะที่มันจะสำแดงออกมาหรือปรากฏให้เห็น
จะเป็นลักษณะอาการของคนที่สุขุมสงบเยือกเย็น
ในทางกลับกันถ้าจิตใจคุณ
ตกเป็นทาสการถูกยั่วยุหรือถูกกวนให้ขุ่นและทำให้ร้อน
มันก็จะเกิดอาการไม่ต่างไปจากน้ำที่ปกติเป็นของเหลว
ที่ถูกต้มด้วยไฟร้อนจนเกิดอาการ
“เดือดพล่าน” รุนแรง
อาการที่จิตเดือดพล่านก็คือการเสียสมดุลไปในทางต่ำ
คำว่าเสียสมดุลไปในทางต่ำหมายถึง
จิตที่เป็นพลังงานนั้นจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ
ซึ่งความถี่จะต่ำลงจากสภาวะปกติคือความสงบไปทันที
โดยจิตที่สั่นสะเทือนย่านความถี่ต่ำหรือ
#จิตตก นั้น
มันคืออาการของคนที่กำลังปากสั่นมือสั่นหรือเนื้อตัวสั่น
คล้ายรถยนต์ที่เกิดอาการสั่นเพราะเครื่องยนต์
“รอบต่ำ”
จนต้องปรับจูนรอบเครื่องยนต์คันนั้นใหม่ให้สูงขึ้นนั่นเอง
อาการเครื่องสั่นรถยนต์สั่นนั้นมันจึงจะสมดุลตามปกติได้
สำหรับพวกคุณที่เป็น
“คนสองมิติ” ก็เช่นกัน
หากเกิดอาการจิตตกเพราะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ
คุณก็ต้องยกระดับจิตหยาบในปัจจุบันขณะให้สูงขึ้นทันที
เพื่อค้ำจุนความสมดุลของจิตเอาไว้ให้มั่นคงให้จงได้
โดยจิตจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าที่ทำให้จิตร้อน
เพราะถ้าจิตร้อนจนถึงจุดเดือดหรือจุดที่
“ควันออกหู” แล้ว
ความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นนั้นมันสามารถเผาทำลายทุกสิ่งได้
ซึ่งอาการแบบนี้แหละที่พวกคุณเรียกว่า
#เกิดโทสะจริต
ที่ทำให้พวกคุณเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายจนฆ่ากันตายได้เลย
ที่เป็น
“สัตว์ร้าย” เพราะใช้สัญชาตญาณความก้าวร้าว
ขับเคลื่อนพฤติกรรมในสองมิติด้วยจิตหยาบที่คุณมีอยู่
เพราะเข้าถึงความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งสองซีก
และเข้าถึง
“ความรักเพื่อให้” ในแบบของพระเจ้าไม่ได้
ซึ่งพวกคุณถูกออกแบบให้เป็น
“มนุษย์” ผู้ที่มีจิตใจสูง
จึงแตกต่างจากสัตว์ประจำโลกอยู่หลายขั้นหลายขุมเลย
คำว่า
“จิตใจสูง” แปลว่า คิดรู้เองได้ตามที่จิตกำหนด
โดยจิตจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงกว่าสัตว์ได้ตลอด
นั่นคือสามารถที่จะรักเพื่อให้ได้ตามสัญชาตญาณของตน
รวมทั้งยังสามารถจะรักได้จากการใช้เหตุผลด้วยเช่นกัน
ซึ่งสัตว์ประจำโลกทั้งหลายมันรักด้วยเหตุผลกันไม่เป็น
พวกเขาจะรักกันได้ก็ด้วยสัญชาติญาณเท่านั้นเอง
ดังนั้น
ถ้าพวกคุณรู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของตัวคุณเอง
ข้นอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้ามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่
“คนตนเอง” ทั้งสองมิติให้เป็น #มนุษย์
ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบกับแก่นแท้
ที่เรียกว่า
“จิตวิญญาณ” ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้แล้ว
พวกคุณก็ต้องกระทำผ่าน
#การหมุนธรรมจักรร่วมกัน
การเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรในตนเอง
รวมทั้งการเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรร่วมกัน
โดยใช้ชีวิตในสังคมแบบคนตาดีหูดีปากดีไม่ปลีกวิเวก
จึงจะเรียกว่าเป็นการ
“ปฏิบัติธรรม” ที่ถูกต้องตรงจริงได้
เพราะคำว่า
“ธรรม” ที่คุณปฏิบัติในการหมุนธรรมจักรนั้น
หมายถึง
“ธรรมชาติ” ตามแบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
มิใช่ธรรมวิปริตที่คนนำทางตาบอดถูกมอดมารหลอกลวง
จนยังผลให้คุณ
“หลงทางนิพพาน” แบบ #ตาลยอดด้วน
มาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งนับได้หลายพันปีผ่านมาแล้วนั่นแหละ
คำว่า
“ปฏิบัติธรรม” จึงเพี้ยนไปเป็น “ปฏิบัติทำ” แทน
เพราะคนนำทางตาบอดสาวกของมาร
ชักชวนพวกคุณที่เป็นคนชอบ
“ธรรม” ให้ทำตามตัวบท
ที่พวกตนกำหนดมันขึ้นมาเองด้วยการบิดเบือนพระวจนะ
เช่น
สอนให้บวชที่กายภายนอกมากกว่าสอนให้บวชที่ใจ
สอนให้ฝักใฝ่พิธีกรรมมากกว่าจะให้แสงสว่างทางปัญญา
ด้วยการจูงใจเพื่อชวนให้เชื่อตามให้ท่องธรรมเพื่อทำตาม
โดยห้ามคิดตามห้ามถามห้ามสงสัยให้เชื่อตามสถานเดียว
ซึ่งมีคำฮิตติดหูหรูดูเริ่ดว่า
“ปัจจัตตัง” กับ “อจินไตย”
ที่คนนำทางตาบอดใช้ในกรณีที่ตนอธิบายมันไม่ได้เสมอ
ส่วนคำว่า
“ทำ” นั้นเป็นตัวแทนของคำว่า “ธรรมดา”
เพราะที่มาของสัจธรรมที่พวกคุณถูกชวนให้ปฏิบัติตามนั้น
มิได้เป็นหลักสัจธรรมแท้จริงจากธรรมชาติของพระเจ้า
มิได้เกิดจากการเข้าถึงความจริงของพระองค์ด้วยความรัก
กับความฉลาดของจิตตปัญญาที่ทรงติดตั้งเอาไว้ให้แล้ว
แต่เป็นการทำตามความเชื่อในความรู้ที่ไม่ตรงจริง
เพราะถูกบิดเบือนและปิดบังความจริงนั้นเอาไว้นั่นเอง
จิตวิญญาณพวกคุณคือฝูงแกะจึงติดค้างกันอยู่ในเอกภพนี้
ไม่สามารถผ่านประตูคอกกลับไปหาผู้ให้กำเนิดของตนได้
เพราะจำทางกลับคอกไม่ได้และจำผู้ให้กำเนิดของตนมิได้
เชื่อกันว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของตน
เพราะไม่รู้ว่าธรรมชาติของตนนั้นเมื่อมาเกิดแล้วไม่ต้องตาย
เชื่อว่า
“ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างสวรรค์มายาเบื้องบน”
เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนนั้นมีสวรรค์นิรันดรอยู่แล้ว
พวกตนขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีกันเท่านั้น
มิได้มีหน้าที่มาสร้างสวรรค์วิมานอะไรแข่งกับพระเจ้ากันอีก
ธรรมชาติคือการมาเกิดเพื่อสร้างตนเองให้สมดุลเท่านั้น
เพราะถ้าตนเองสมดุลโลกและเอกภพทั้งระบบก็สมดุล
ซึ่งความสมดุลจะเกิดได้พวกคุณก็ต้องปฏิบัติธรรม
นั่นคือธรรมะที่เป็น
“ธรรมชาติ” มิใช่ “ทำ” ที่เป็นธรรมดา
ตามการชี้นำของ
“คนนำทางตาบอด” ผู้ไม่รู้ทันผีโสโครก
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
29/01/2024