22 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 22/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สิ่งสำคัญมากที่สุดที่พวกคุณต้องทำให้สำเร็จเป็นสิ่งแรก

ถ้ารู้ว่าตนคือผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เป็น #คนสองมิติ

คือการคนตนเองทั้งสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้

สองมิติ” คือมิติแห่งกายสังขารกับมิติของจิตวิญญาณ

โดยคุณต้องคนให้มันเข้ากันอย่างกลมกลืนให้จงได้

หลักการ “คน” คือต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบกับกายหยาบ

ให้สอดคล้องกันเช่นนึกคิดรู้สึกอย่างไรต้องแสดงอย่างนั้น

ซึ่งหมายถึง #การมีสัจจะ ตามที่เรากล่าวไว้ในบทก่อน

 

การสั่นสะเทือนใดๆในมิติแห่งจิต

จนเกิดเป็นพฤติกรรมภายในที่เรียกว่า “มโนกรรม” ขึ้น

แล้วขับเคลื่อนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกให้เห็น

ในรูปของ “วจีกรรม” ด้วยการเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

หรือในรูปของ “กายกรรม” เป็นการกระทำแบบต่างๆ

ด้วยอวัยวะร่างกายของคุณให้ปรากฏต่อบุคคลรอบข้างนั้น

ในลักษณะของ #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ที่โบราณว่าไว้

รวมเรียกกระบวนการนี้ว่า “การสั่นสะเทือนจิตสามนึก”

 

ดังนั้น

ถ้าคุณอาสาพระเจ้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ”

คุณจึงมีหน้าที่หลักในชีวิตคือต้อง #สั่นสะเทือนจิตสามนึก

โดย “จิตสามนึก” ก็คือจิต 3 ตัวซึ่งทำหน้าที่ในการนึก

ประกอบด้วย #นึกออก #นึกเอา และ #นึกเอง

ซึ่งจิตทั้งสามตัวนึกดังกล่าวนี้เป็นกลไกที่พระองค์กำหนดไว้

ให้จิตหยาบของพวกคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการสั่นสะเทือน

เพื่อขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกตามที่นึกต่อไป

ในลักษณะของคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นี่แหละ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

จิตสามนึกของพวกคุณจึงมี 3 ประเภทก็คือ

1.#จิตสัญชาตญาณ

เป็นอาการของจิตปัจจุบันที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือนเอง

โดยใช้จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ที่ “ก้านสมอง”

ซึ่งจิตหยาบมิได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

เหตุที่จิตวิญญาณของคุณต้องเริ่มต้นสั่นสะเทือนเอง

โดยจิตหยาบเป็นแค่ผู้รับรู้หรือเป็นแค่ทางผ่านเพราะว่า

มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายทั้งสิ้น

ซึ่งพระเจ้ามิทรงยอมให้จิตหยาบกระทำการผิดพลาด

จนเกิด “ความเสี่ยง” ต่อการตายของจิตวิญญาณนั้นๆ

เพราะทรงกำหนดให้จิตวิญญาณพวกคุณไม่มีหน้าที่ตาย

เนื่องจากทุกคนต้องทำหน้าที่ประจำโลกเพื่อพิทักษ์โลก

ถ้ายอมให้ตายกันง่ายๆโลกและเอกภพจะมีปัญหาทันที

 

ปัญหาก็คือโลกและเอกภพจะเสียสมดุล

เพราะ “เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์” ลดน้อยลง

เมื่อจำนวนมนุษย์ลดลงโลกก็จะได้รับพลังงานลดลงตาม

ซึ่งพลังงานที่พวกคุณร่วมกันผลิตจาก #ความรักเพื่อให้

ทั้งอดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ด้วยการใช้ “ขันธ์ห้า” หมุนธรรมจักรร่วมกันตลอดวัน

ตั้งแต่สามคนขึ้นไปจากภายในครอบครัวตัวเองพ่อแม่ลูก

จนขยายตัวออกไปหมุนธรรมจักรด้วยรักกับคนข้างบ้าน

จะทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานความรักคือ Σβx

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก

แต่ต้องเป็น #พลังงานสะอาด ที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของมัน

มิเช่นนั้นโลกก็จะเอาไปใช้ค้ำจุนตนเองให้สมดุลมิได้

 

พลังงานที่ไม่สะอาดก็คือ

ผลลัพธ์ของพลังงานที่พวกคุณผลิตสร้างขึ้นนั้น

ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กันตามสมการ Σβx ที่ว่านี้ได้

เพราะมี #รหัสกรรมจำเพาะคนกำกับ” เป็นคุณสมบัติอยู่

ในลักษณะของใครทำอะไรกับใครเพื่อใครเมื่อไหร่เอาไว้

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นได้แค่เพียง #ผลกรรม เท่านั้น

เมื่อพวกคุณเหวี่ยงออกมาทิ้งไว้ในบรรยากาศโลกแล้ว

มันจะได้แต่เป็นดั่งขยะที่ลอยอยู่กลาดเกลื่อนไปทั่ว

เพราะเป็นพลังงานขยะที่ไร้ประโยชน์ต่อโลกและทุกสิ่ง

ซึ่งมันจะล่องลอยคอยรอให้เจ้าของมันเมื่อตายไปแล้ว

เป็นผู้รับผิดชอบด้วยการ “รับเอา” เพื่อชำระให้หมดสิ้น

 

แต่ถ้าเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องได้จากสมการ Σβx เท่านั้น

นั่นคือพวกคุณทุกคนต้อง #หมุนธรรมจักร ให้สำเร็จ

ด้วยการ “รักเพื่อให้” โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

 

คำว่า “ให้โดยไม่มีเงื่อนไข” หมายถึง

คุณจะให้ใครก็ได้อย่าไปเจาะจงตัวตนหรือตัวบุคคล

ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือให้พ่อแม่บุรพการีของตนก็ตาม

เนื่องจากตาม “กฎแห่งกรรม” ใครทำใครได้อยู่แล้ว

ถ้าคุณปลูกมะพร้าวย่อมได้ผลมะพร้าวอยู่วันยันค่ำ

 

พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดคุณมาก็เช่นกัน

คุณไม่ต้องเอ่ยปากอุทิศให้ท่านหรอก

เพราะจิตวิญญาณของพ่อแม่ลูกในครอบครัวเดียวกัน

พวกคุณนั้นล้วนคล้ายคลีงทางด้านบุคลิกกันอยู่แล้ว

ซึ่งเมอร์คขะบาห์หรือจิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนถึงกันได้

ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้แล้วนั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

เมื่อให้แล้ว แบ่งปันแล้ว หรือเสียสละให้เขาไปแล้ว

อย่าขอสิ่งตอบแทนไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าหรือว่าชาติไหน

เพราะมันจะเป็นรหัสกรรมที่ทำให้พลังงานไม่สะอาด

โลกจะนำไปใช้เป็นพลังงานเริ่มต้นเพื่อบิดแกนแม่เหล็ก

ในอันที่จะทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไม่ได้

ไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองช้าลงเพราะพลังงานลดลง

หรือว่าโลกสะดุดจากแกนโลกบิดตัวไม่ต่อเนื่องก็ตาม

ทั้งโลกและเอกภพที่เป็นระบบใหญ่จะเกิดวิกฤตจนวิบัติ

ซึ่งต่อนี้ไปพวกคุณจะเหลวไหลกันอยู่อีกไม่ได้แล้ว

พวกคุณต้องท่องคำว่า #ธรรมจักร ทุกลมหายใจเอาไว้

มิเช่นนั้นโลกจะถึงกาลหายนะในเร็ววันจากภัยพิบัติแน่ ๆ

 

2.#จิตรู้สำนึก

นี่เป็นจิตสามนึกของจิตหยาบเองโดยตรง

โดยคำว่า “รู้สำนึก” หมายถึง รู้ในบาปบุญคุณโทษ

รู้ในถูกผิดดีชั่ว รู้ควรรู้ไม่ควร รู้เหมาะสมไม่เหมาะสม

โดยจิตว่างไปจากกิเลสมารและบริวารของกิเลส

ได้อย่างสิ้นเชิงในปัจจุบันขณะ

จากการมี #มหาสติ กับ #ปณิธานแห่งนิพพาน

เพื่อการหลุดพ้นอยู่ในทุกขณะจิตนั่นแหละ

จนทำให้กิเลสมารเข้าแทรกจิตปัจจุบันของคุณไม่ได้

 

การ “หมุนธรรมจักร” ได้สำเร็จ

ตามที่เรากล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้วนั้น

มันคือการสั่นสะเทือนจิตสามนึกแบบ “จิตรู้สำนึก” นี่เอง

 

3.#จิตไร้สำนึก

เป็นการสั่นสะเทือนจิตทั้งสามตัวนึก

ขณะที่จิตตกเป็นทาสของกิเลสมารและบริวารของมัน

โดยกิเลสมารที่เป็น #มารตัวแม่ ซึ่งมันจะแช่อยู่ข้างใน

เมื่อไหร่ที่จิตสามนึกขาดมหาสติที่จะกำกับควบคุมไว้

เมื่อนั้นกิเลสมารคือความรู้สึกชอบไม่ชอบจะโผล่ออกมา

แล้วนำพาตัณหาคืออยากไม่อยากกับอารมณ์ขยะมาด้วย

 

มารภายในเหล่านี้

มันจะพากันมะรุมมะตุ้มคุณจนหูหนาตาบอดไปหมด

จนไม่สามารถมองโลกไปตามความจริงได้ ณ บัดนั้น

ยังผลให้คุณนึกลบนึกชั่วจนนำไปสู่การคิดพูดทำที่วิปริต

จนกลายเป็น “หมุนกรรมจักรในตนเอง” แทนธรรมจักร

แล้วคุณยังจะชวนคนรอบข้างหมุนกรรมจักรตามไปด้วย

 

ตอนนี้คุณเข้าใจกันดีหรือยังว่า

#จิตสามนึกคืออะไร?

#การสั่นสะเทือนจิตสามนึกคืออย่างไร?

#จิตสามนึกมิใช่จิตใต้สำนึกใช่ไหมล่ะ?

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

22/01/2024