#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งสำคัญมากที่สุดที่พวกคุณต้องทำให้สำเร็จเป็นสิ่งแรก
ถ้ารู้ว่าตนคือผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เป็น
#คนสองมิติ
คือการคนตนเองทั้งสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้
“สองมิติ” คือมิติแห่งกายสังขารกับมิติของจิตวิญญาณ
โดยคุณต้องคนให้มันเข้ากันอย่างกลมกลืนให้จงได้
หลักการ
“คน” คือต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบกับกายหยาบ
ให้สอดคล้องกันเช่นนึกคิดรู้สึกอย่างไรต้องแสดงอย่างนั้น
ซึ่งหมายถึง
#การมีสัจจะ ตามที่เรากล่าวไว้ในบทก่อน
การสั่นสะเทือนใดๆในมิติแห่งจิต
จนเกิดเป็นพฤติกรรมภายในที่เรียกว่า
“มโนกรรม” ขึ้น
แล้วขับเคลื่อนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกให้เห็น
ในรูปของ
“วจีกรรม” ด้วยการเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
หรือในรูปของ
“กายกรรม” เป็นการกระทำแบบต่างๆ
ด้วยอวัยวะร่างกายของคุณให้ปรากฏต่อบุคคลรอบข้างนั้น
ในลักษณะของ
#จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ที่โบราณว่าไว้
รวมเรียกกระบวนการนี้ว่า
“การสั่นสะเทือนจิตสามนึก”
ดังนั้น
ถ้าคุณอาสาพระเจ้ามาเกิดเป็น
“คนสองมิติ”
คุณจึงมีหน้าที่หลักในชีวิตคือต้อง
#สั่นสะเทือนจิตสามนึก
โดย
“จิตสามนึก” ก็คือจิต 3
ตัวซึ่งทำหน้าที่ในการนึก
ประกอบด้วย
#นึกออก #นึกเอา และ
#นึกเอง
ซึ่งจิตทั้งสามตัวนึกดังกล่าวนี้เป็นกลไกที่พระองค์กำหนดไว้
ให้จิตหยาบของพวกคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการสั่นสะเทือน
เพื่อขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกตามที่นึกต่อไป
ในลักษณะของคำว่า
“จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นี่แหละ
ด้วยเหตุนี้เอง
จิตสามนึกของพวกคุณจึงมี
3 ประเภทก็คือ
เป็นอาการของจิตปัจจุบันที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือนเอง
โดยใช้จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ที่
“ก้านสมอง”
ซึ่งจิตหยาบมิได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เหตุที่จิตวิญญาณของคุณต้องเริ่มต้นสั่นสะเทือนเอง
โดยจิตหยาบเป็นแค่ผู้รับรู้หรือเป็นแค่ทางผ่านเพราะว่า
มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายทั้งสิ้น
ซึ่งพระเจ้ามิทรงยอมให้จิตหยาบกระทำการผิดพลาด
จนเกิด
“ความเสี่ยง” ต่อการตายของจิตวิญญาณนั้นๆ
เพราะทรงกำหนดให้จิตวิญญาณพวกคุณไม่มีหน้าที่ตาย
เนื่องจากทุกคนต้องทำหน้าที่ประจำโลกเพื่อพิทักษ์โลก
ถ้ายอมให้ตายกันง่ายๆโลกและเอกภพจะมีปัญหาทันที
ปัญหาก็คือโลกและเอกภพจะเสียสมดุล
เพราะ
“เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์” ลดน้อยลง
เมื่อจำนวนมนุษย์ลดลงโลกก็จะได้รับพลังงานลดลงตาม
ซึ่งพลังงานที่พวกคุณร่วมกันผลิตจาก
#ความรักเพื่อให้
ทั้งอดทน
อดกลั้น ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ด้วยการใช้
“ขันธ์ห้า” หมุนธรรมจักรร่วมกันตลอดวัน
ตั้งแต่สามคนขึ้นไปจากภายในครอบครัวตัวเองพ่อแม่ลูก
จนขยายตัวออกไปหมุนธรรมจักรด้วยรักกับคนข้างบ้าน
จะทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานความรักคือ
Σβx
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
แต่ต้องเป็น
#พลังงานสะอาด ที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของมัน
มิเช่นนั้นโลกก็จะเอาไปใช้ค้ำจุนตนเองให้สมดุลมิได้
พลังงานที่ไม่สะอาดก็คือ
ผลลัพธ์ของพลังงานที่พวกคุณผลิตสร้างขึ้นนั้น
ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กันตามสมการ
Σβx ที่ว่านี้ได้
เพราะมี
#รหัสกรรมจำเพาะคน “กำกับ” เป็นคุณสมบัติอยู่
ในลักษณะของใครทำอะไรกับใครเพื่อใครเมื่อไหร่เอาไว้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นได้แค่เพียง
#ผลกรรม เท่านั้น
เมื่อพวกคุณเหวี่ยงออกมาทิ้งไว้ในบรรยากาศโลกแล้ว
มันจะได้แต่เป็นดั่งขยะที่ลอยอยู่กลาดเกลื่อนไปทั่ว
เพราะเป็นพลังงานขยะที่ไร้ประโยชน์ต่อโลกและทุกสิ่ง
ซึ่งมันจะล่องลอยคอยรอให้เจ้าของมันเมื่อตายไปแล้ว
เป็นผู้รับผิดชอบด้วยการ
“รับเอา” เพื่อชำระให้หมดสิ้น
แต่ถ้าเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องได้จากสมการ
Σβx เท่านั้น
นั่นคือพวกคุณทุกคนต้อง
#หมุนธรรมจักร ให้สำเร็จ
ด้วยการ
“รักเพื่อให้” โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
คำว่า
“ให้โดยไม่มีเงื่อนไข” หมายถึง
คุณจะให้ใครก็ได้อย่าไปเจาะจงตัวตนหรือตัวบุคคล
ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือให้พ่อแม่บุรพการีของตนก็ตาม
เนื่องจากตาม
“กฎแห่งกรรม” ใครทำใครได้อยู่แล้ว
ถ้าคุณปลูกมะพร้าวย่อมได้ผลมะพร้าวอยู่วันยันค่ำ
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดคุณมาก็เช่นกัน
คุณไม่ต้องเอ่ยปากอุทิศให้ท่านหรอก
เพราะจิตวิญญาณของพ่อแม่ลูกในครอบครัวเดียวกัน
พวกคุณนั้นล้วนคล้ายคลีงทางด้านบุคลิกกันอยู่แล้ว
ซึ่งเมอร์คขะบาห์หรือจิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนถึงกันได้
ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้แล้วนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อให้แล้ว
แบ่งปันแล้ว หรือเสียสละให้เขาไปแล้ว
อย่าขอสิ่งตอบแทนไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าหรือว่าชาติไหน
เพราะมันจะเป็นรหัสกรรมที่ทำให้พลังงานไม่สะอาด
โลกจะนำไปใช้เป็นพลังงานเริ่มต้นเพื่อบิดแกนแม่เหล็ก
ในอันที่จะทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไม่ได้
ไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองช้าลงเพราะพลังงานลดลง
หรือว่าโลกสะดุดจากแกนโลกบิดตัวไม่ต่อเนื่องก็ตาม
ทั้งโลกและเอกภพที่เป็นระบบใหญ่จะเกิดวิกฤตจนวิบัติ
ซึ่งต่อนี้ไปพวกคุณจะเหลวไหลกันอยู่อีกไม่ได้แล้ว
พวกคุณต้องท่องคำว่า
#ธรรมจักร ทุกลมหายใจเอาไว้
มิเช่นนั้นโลกจะถึงกาลหายนะในเร็ววันจากภัยพิบัติแน่
ๆ
นี่เป็นจิตสามนึกของจิตหยาบเองโดยตรง
โดยคำว่า
“รู้สำนึก” หมายถึง รู้ในบาปบุญคุณโทษ
รู้ในถูกผิดดีชั่ว
รู้ควรรู้ไม่ควร รู้เหมาะสมไม่เหมาะสม
โดยจิตว่างไปจากกิเลสมารและบริวารของกิเลส
ได้อย่างสิ้นเชิงในปัจจุบันขณะ
จากการมี
#มหาสติ กับ
#ปณิธานแห่งนิพพาน
เพื่อการหลุดพ้นอยู่ในทุกขณะจิตนั่นแหละ
จนทำให้กิเลสมารเข้าแทรกจิตปัจจุบันของคุณไม่ได้
การ
“หมุนธรรมจักร” ได้สำเร็จ
ตามที่เรากล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้วนั้น
มันคือการสั่นสะเทือนจิตสามนึกแบบ
“จิตรู้สำนึก” นี่เอง
เป็นการสั่นสะเทือนจิตทั้งสามตัวนึก
ขณะที่จิตตกเป็นทาสของกิเลสมารและบริวารของมัน
โดยกิเลสมารที่เป็น
#มารตัวแม่ ซึ่งมันจะแช่อยู่ข้างใน
เมื่อไหร่ที่จิตสามนึกขาดมหาสติที่จะกำกับควบคุมไว้
เมื่อนั้นกิเลสมารคือความรู้สึกชอบไม่ชอบจะโผล่ออกมา
แล้วนำพาตัณหาคืออยากไม่อยากกับอารมณ์ขยะมาด้วย
มารภายในเหล่านี้
มันจะพากันมะรุมมะตุ้มคุณจนหูหนาตาบอดไปหมด
จนไม่สามารถมองโลกไปตามความจริงได้
ณ บัดนั้น
ยังผลให้คุณนึกลบนึกชั่วจนนำไปสู่การคิดพูดทำที่วิปริต
จนกลายเป็น
“หมุนกรรมจักรในตนเอง” แทนธรรมจักร
แล้วคุณยังจะชวนคนรอบข้างหมุนกรรมจักรตามไปด้วย
ตอนนี้คุณเข้าใจกันดีหรือยังว่า
#การสั่นสะเทือนจิตสามนึกคืออย่างไร?
#จิตสามนึกมิใช่จิตใต้สำนึกใช่ไหมล่ะ?
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
22/01/2024