สนทนาประสาจิตจักรวาล
สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ซึ่งพระบิดาทรงออกแบบและทดลองใช้งาน
อยู่ในกลุ่มดาวลูกไก่ที่มีนามว่า พลียะเดี้ยนส์
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่สมบูรณ์ที่สุด
และมีประสิทธิภาพการใช้งานยอดเยี่ยมที่สุด
ในประดารูปธรรมมีชีวิตที่ทรงสร้างมาตั้งแต่ต้น
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นี้
จะมีโครงสร้างทางจิตและกายสังขาร
ที่สลับซับซ้อนแยบยลกว่าสัตว์ประจำโลก
เป็นต้นว่า
สัตว์ประจำโลกจะมีแต่จิตวิญญาณ
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของตน
ด้วยความฉลาดในระดับ สัญชาตญาณ
อันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณเองเท่านั้น
ส่วนก้อนสมองของสัตว์ทั้งหลาย
จะเป็นแค่เพียงเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ในการขับเคลื่อนพฤติกรรมทางกายภาพ
ของกายสังขารของสัตว์นั้นๆเป็นสำคัญ
โดยจะสั่นสะเทือนไปตามสัญชาตญาณเสมอ
เพื่อให้สัตว์สามารถเข้าถึงกระบวนการของขันธ์ 5
ที่จะแสดงออกหรือกระทำในสองมิติควบคู่กันได้
สมองของสัตว์จึงถูกออกแบบให้มีก้อนเดียว
แต่ในรูปธรรมมนุษย์ต้นแบบคือพลียะเดี้ยนส์
จิตวิญญาณผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาขับเคลื่อน
มิได้ขันอาสาว่าจะมาทำหน้าที่ประจำโลก
แต่มีเงื่อนไขสัญญาเป็นสัจจะไว้กับพระองค์ว่า
ถ้าเสร็จภารกิจแล้วตนจักต้องเดินทางกลับบ้าน
เมื่อจะต้องกลับบ้านยังแดนสุญตา
จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน
จึงต้องได้รับการปกป้องให้มีคุณสมบัติเป็นสุญตาไว้
พระองค์จึงทรงออกแบบให้จิตวิญญาณในรูปธรรมนั้นๆ
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกลุ่มของ "จิตหยาบ"
ให้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แทน
ถ้าจิตหยาบใช้ขันธ์ 5 ผิดพลาดประการใด
ความเสื่อมสภาพก็จะเกิดแก่จิตหยาบเท่านั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้จะได้รับผลเพียงแค่เสียสมดุล
หรือที่เรียกว่าเกิดอาการ "หลงมิติ" เท่านั้นเอง
อาการหลงมิติของจิตวิญญาณ
อันเกิดจากจิตหยาบที่เหลวไหลไม่เอาถ่าน
เพราะได้แต่ใช้ขันธ์ 5 ตามแบบสัตว์ประจำโลก
โดยใช้อารมณ์รู้สึกที่เป็นขยะเป็นตัวขับเคลื่อนนั้น
ทำให้มนุษย์ยกระดับจิตสามนึกให้สูงขึ้นไม่ได้
ทั้งยังผลิตพลังงานจิตด้านบวกให้โลกไม่ได้ด้วย
พระบิดาจึงทรงป้องกันจิตวิญญาณมิให้เสียหาย
ด้วยการออกแบบให้ "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทน
โดยมีเงื่อนไขว่าการใดที่จิตหยาบสั่นสะเทือน
เป็นการแสดงออกหรือกระทำในมิติคู่ขนาน
จิตวิญญาณผู้มอบอำนาจต้องรับผิดชอบทั้งหมด
นอกจากนั้น
เพื่อช่วยเหลือจิตหยาบให้สามารถใช้ขันธ์ 5
ทำการ หมุนธรรมจักร ได้ในทุกสถานการณ์
แทนที่จะหมุนธรรมจักรได้แบบไม่แน่นอน
เพราะใช้แต่อารมณ์ขยะเป็นตัวขับเคลื่อนขันธ์ 5
พระองค์จึงทรงออกแบบก้อนสมองมหัศจรรย์
ให้มนุษย์ใช้เป็นกลไกสร้างความฉลาดทางปัญญา
เพื่อที่จะรักให้ได้แม้ใครคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารัก
เพื่ออภัยให้ได้แม้ใครคนนั้นจะทำตัวไม่น่าให้อภัย
โดยใช้สติปัญญานำอารมณ์ขยะแทน
ซึ่งจากการทดลองกับกลุ่มพลียะเดี้ยนส์ทรงพบว่า
พวกเขาสอบผ่านและใช้งานสมองได้ยอดเยี่ยม
พระบิดาทรงออกแบบสมองของมนุษย์
โดยทรงจำลองแบบมาจากอนันตจักรวาล
อันประกอบด้วยดวงดาราประดับฟ้า
ที่มีสนามพลังงานเชื่อมโยงกันไว้อย่างลงตัว
ดังนั้น
สมองของมนุษย์จึงถูกออกแบบให้
ประกอบด้วยเซลสมองที่เป็นเซลประสาท
รวมทั้งสิ้น 8 ล้าน 1 แสนล้านเซล
เท่ากับจำนวนของดวงดาวทั้งหมด
ในกาแล็กซื่ธารสายน้ำนมหรือทางช้างเผือกนี้
โดยแต่ละเซลจะเชื่อมต่อกันด้วยเส้นใยประสาท
สอดประสานกันเป็นโครงข่ายที่สลับซับซ้อน
ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นระบบด้วยกระแสไฟฟ้า
ที่มีจิตหยาบของมนุษย์เป็นผู้ควบคุมสั่งการ
มนุษย์สามารถใช้สมองซีกซ้ายคือสติปัญญา
เพื่อการคิดรู้และเรียนรู้ด้วยวิธีวิเคราะห์
และยังสามารถใช้สมองซีกขวานำซีกซ้าย
คือสติปัญญาของจิตวิญญาณหรือปัญญาญาณ
เพื่อการหยั่งรู้ด้วยวิธีสังเคราะห์ได้อีกด้วย
ถ้ามนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ใช้ขันธ์ 5 ด้วยอารมณ์รู้สึกที่เป็นขยะ
แต่เข้าถึงความฉลาดของสมองสองซีก
ที่พระบิดาทรงออกแบบเอาไว้ให้ใช้ด้วยการ
นึกก่อนคิด คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่
นึกเพื่อให้ คิดเพื่อให้ ทำเพื่อให้
ให้ใครก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
ให้โดยไม่คิดไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
ถ้าสามารถใช้ปัญญาของสมองดังว่านี้ได้
มนุษย์ทุกคนก็จะสามารถหมุนธรรมจักร
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 ได้อย่างสง่างาม
ซึ่งรูปธรรมกลุ่มพลียะเดี้ยนส์ที่ดาวลูกไก่
เคยกระทำเป็นผลสำเร็จกันมาแล้วนั่นเอง
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
ถ้ามนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ขับเคลื่อนขันธ์
5
ด้วยอารมณ์รู้สึกที่เป็นขยะ
แต่ใช้ความฉลาด
ของสมองกับความรัก
ขับเคลื่อนแทน
มนุษย์จะเปลี่ยนกรรมจักร
ให้เป็นธรรมจักรได้เมื่อนั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/06/2021
