11 มิถุนายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/06/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/06/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อครั้งที่องค์จิตจักรวาลหรือพระผู้สร้าง
ได้ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะทรงยกเลิก
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรม "ไดโนเสาร์"
โดยส่วนหนึ่งทรงย้ายไปไว้ที่ดาวเคราะห์ดวงอื่น
ในระบบสุริยจักรวาลเดียวกันกับโลกนั้น

มีปัญหาที่จะต้องทรงใคร่ครวญอยู่ 2 ประการ
ประการแรกเป็น "ปัญหาด้านกายภาพ"
ประการที่สองเป็น "ปัญหาด้านจิตวิญญาณ"

ปัญหาประการแรกก็คือ
จะทรงขนย้ายเอาไดโนเสาร์ตัวใหญ่ตัวไหน
ที่ไม่เหมาะสมกับภารกิจบนโลกนี้แล้ว
ไปไว้ที่ดาวเคราะห์ดวงใดและขนย้ายไปอย่างไร

เมื่อทรงพิจารณาอย่างดียิ่งแล้ว
จึงได้ผลการตัดสินพระทัยว่าดั่งนี้

1.ทรงเลือกเอาไดโนเสาร์ชนิดกินพืชจำนวนหนึ่ง
ขณะที่พวกเขายังเป็นวัยละอ่อนอยู่ขนย้ายออกไป

2.สถานที่ใหม่ที่ผู้ถูกขนย้ายทั้งหมดต้องไปอยู่
จะมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศต่างๆ
ไม่ต่างจากดาวเคราะห์โลกที่เป็นถิ่นกำเนิด
ซึ่งพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติ
เพราะบนนั้นมีป่าไม้ สายน้ำ ลำธาร แสงแดด อากาศ
ที่ให้พลังงานชีวิตแก่ไดโนเสาร์ได้อย่างเต็มอิ่ม

พิกัดดาวที่ทรงเลือกให้พวกเขาด้วยความรัก
ก็คือดาวเพื่อนที่อยู่ในวงโคจรของดาวพฤหัส
ของระบบสุริยจักรวาลเดียวกันกับโลก
ซึ่งทุกวันนี้มนุษย์โลกพากันเข้าใจผิดอยู่
โดยคิดเข้าใจว่าเป็น ดาวเคราะห์น้อย ดวงหนึ่ง
ทั้งๆที่แท้จริงนั้นเป็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัส
ที่ต้องโคจรรอบดาวพฤหัสและดวงอาทิตย์ด้วย

เพราะพระองค์ทรงนำไดโนเสาร์สัตว์ใหญ่
ไปติดตั้งไว้บนดาวเพื่อนของดาวพฤหัสนี่แหละ
จึงยังผลให้ดาวดวงนี้มีค่าสนามแม่เหล็กของดาว
มีความเข้มข้นค่อนข้างสูงมากกว่าดวงจันทร์ดวงอื่น
ซึ่งเป็นดาวเพื่อนของดาวพฤหัสด้วยกัน
ดวงจันทร์ดวงนี้จึงโคจรห่างออกมาจากดาวพฤหัส
ได้ไกลกว่าปกติโดยไม่หลุดวงโคจรนั่นเอง

สาเหตุที่มนุษย์โลก "เดา" ว่า
ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสดวงนี้เป็นดาวเคราะห์น้อย
เพราะเขามีวงโคจรห่างจากดาวพฤหัสค่อนข้างไกล
บางเวลาก็จะโคจรเข้ามาใกล้โลกให้มนุษย์เห็น
บางวันเวลาเขาก็จะโคจรห่างหายออกไปนี่เอง
มนุษย์โลกที่ใช้สมมติฐานด้วยการเดาจากที่เห็น
จึงเดาผิดเพราะมิอาจรู้เห็นความจริงที่ทรงสร้าง

3.เมื่อทรงตัดสินพระทัยในสองประการนั้นแล้ว
วิธีขนย้ายเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ออกไปจากระบบโลกเป็น "ปัญหา" ลำดับสุดท้าย
ว่าจะทำการขนย้ายออกไปจากระบบโลกกันอย่างไร

ในที่สุดพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยให้
ฑูตสวรรค์ใช้ยานพาหนะที่สร้างด้วยเท็คโนโลยี
ทำการขนย้ายไดโนเสาร์ทั้งหมดที่ทรงคัดไว้
ไปอยู่อาศัยบนดาวเพื่อนของดาวพฤหัสจนทุกวันนี้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมาแล้วว่า

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์ที่เหลืออยู่
พระองค์ก็ทรงย้ายออกไปจากระบบโลกเช่นกัน
เพื่อทำให้น้ำหนักมวลรวมบนพื้นโลกลดลง
และเพื่อแก้ปัญหาไดโนเสาร์พวกที่ดุร้ายนิสัยเสีย
ซึ่งเป็นเหตุหลักที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุล

วิธีการย้ายมวลไดโนเสาร์ออกไปของพระองค์ก็คือ
ทำให้โลกเกิดอาการ กระตุก ชงักเพียงเสี้ยววินาที
โดยให้ฑูตสวรรค์หรือช่างเท็คนิกของจักรวาล
ส่ง ก้อนเทหวัตถุ ขนาดที่คำนวนแล้วว่าเหมาะสม
ให้เดินทางเข้ามาชนกระแทกกับดาวเคราะห์โลก
ตรงพิกัดตำแหน่งของพื้นแผ่นดินที่ทรงกำหนดไว้
มนุษย์โลกเรียกก้อนเทหวัตถุนี้ว่า อุกกาบาต

เพื่อให้เราอธิบายความต่อมนุษย์โลก
ให้สามารถเข้าใจปฏิบัติการนี้ได้ภายในสามนาที
พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ช่างเท็คนิก
แสดงตัวอย่างปฏิบัติการที่เรากล่าวนี้ต่อมนุษย์
ด้วยการส่งก้อนเทหวัตถุพุ่งเข้าชนดาวพฤหัส
ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก
จนเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของท่านทั้งหลายมาแล้ว
เพื่อยืนยันว่าการชนกันในลักษณะนี้เคยมีจริงๆ

ทันทีที่โลกหยุดหมุนชั่วเสี้ยววินาที
ไดโนเสาร์ที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกทุกตัว
จะถูกแรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองตามปกติ
แต่เกิดการเบร็คกระทันหันจนหยุดชงักชั่วคราว
เหวี่ยงพวกเขากระเด็นออกจากระบบโลกทั้งหมด
เนื่องจากพวกเขาเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่ไม่มีส่วนใดยึดรั้งไว้กับพื้นดินหรือพื้นโลก
เหมือนต้นไม้ใหญ่ทั้งหลายที่กระจายอยู่ทั่วโลก

ส่วนที่เป็นน้ำบนพื้นผิวโลกที่เป็นของเหลว
ผลจากแรงเหวี่ยงเพราะโลกหยุดหมุนกระทันหัน
จึงทำให้เกิดคลื่นน้ำขนาดใหญ่กระจายทั่วทิศ
พระองค์จึงทรงใช้คลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นนี้
สร้างภูเขาหิน ดิน ทราย แม่น้ำ แหล่งน้ำ
ทะเลสาปน้ำจืดและทะเลน้ำเค็มขนาดใหญ่
โดยทรงค่อยๆบรรจงจัดวางแต่ละสิ่งอย่างบรรจง
ขณะที่โลกกำลังเหวี่ยงหมุนไปช้าๆและแกว่งส่าย
จนทำให้ดาวเคราะห์โลกแม้หมุนช้าๆแต่ไม่แกว่งอีก

เมื่อดาวเคราะห์โลกคืนสู่สมดุลดังเดิมแล้ว
แต่ยังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองช้าเกินไป
โลกยังไม่สามารถค้ำจุนสมดุลของสุริยจักรวาล
ที่มีผลต่อความสมดุลของกาแล็กซีธารสายน้ำนม
รวมทั้งความสมดุลของเอกภพที่เป็นห้องทดลองด้วย

ปัญหาประการที่สอง
เป็นปัญหาในมิติของจิตวิญญาณที่จะต้องแก้ไข
แรงบันดาลใจของพระองค์จึงเริ่มต้นที่
ความรักที่ทรงมีต่อจิตวิญญาณทั้งหมด
ผู้ขันอาสาพระองค์เข้ามาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลก
ที่เครื่องยนต์แห่งกรรมแตกสลายไปในอวกาศแล้ว
จะทรงออกแบบและทรงสร้างสรรค์อย่างไร
มิให้พวกเขาเป็นจิตวิญญาณขยะหลงอยู่ใน "เอกภพ"
ที่พวกท่านเรียกเอกภพว่า อนันตจักรวาล นี้
เพราะจะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาก็ไม่ได้แล้ว
เนื่องจากจะเป็นการผิดสัจจะของตนกับพระบิดา

นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบวางแผนใหม่
เพื่อสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปลักษณ์ใหม่
โดยให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ที่เสียชีวิตแล้ว
ได้กลับมาทำหน้าที่บนโลกร่วมกับต้นไม้อีกครั้ง
เพื่อทำการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมใหม่ๆ
ผลิตสร้างความรักจากกระบวนการของ ขันธ์ 5
ตามแบบที่ไดโนเสาร์เคยทำสำเร็จกันมาแล้ว

โลกทุกวันนั้นจนมาถึงโลกทุกวันนี้
เฉพาะในมุมของสัตว์ประจำโลก
ท่านจะพบเห็นว่าสัตว์โลกมีหลากหลาย
ซึ่งพระองค์ทรงใช้พระปรีชาญาณ
กำหนดสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจง
ทั้งสวยงาม แปลกตา น่ารัก
ทั้งมุดดิน บินได้ เลื้อยได้ คลานได้ กระโดดได้
ทรงออกแบบสร้างจากการทดลองของพระองค์
ด้วยความรักและพระวิญญาณที่สมดุลทั้งสิ้น

จิตวิญญาณของไดโนเสาร์กินพืชที่ไม่ดุร้าย
พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ขับเคลื่อนสัตว์ใหญ่
เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายเจ้าตัวเล็กกว่าอีก
เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
สัตว์ใหญ่เหล่านี้จะมีนิสัยดีและเป็นมิตร

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงอนุญาตให้พวกเขา
เกิดเป็นสัตว์ตัวน้อยๆที่น่ารักด้วยเช่นกัน
โดยให้สิทธิในการเลือกที่จะเป็นได้เอง

ส่วนจิตวิญญาณไดโนเสาร์ที่ดุร้าย
เพราะจิตวิญญาณหลงมิติไปแล้ว
จนไม่สามารถแก้ไขเยียวยาให้กลับสมดุลได้
พระองค์จึงทรงออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เหมาะสมกับความดุร้ายก้าวร้าวให้ใหม่
แต่จะไม่สามารถทำร้ายหมายชีวิตสัตว์อื่นได้
เหมือนตอนที่เป็นไดโนเสาร์กินสัตว์ด้วยกันอีก

จากแรงบันดาลใจของพระองค์ดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของสัตว์ที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
ทั้งตัวตนรูปลักษณ์และวิธีการดำเนินชีวิต
ผิดแผกไปจากสัตว์ตัวใหญ่ที่กล่าวมา

ตัวอย่างสัตว์
ที่มีจิตวิญญาณของไดโนเสาร์ดุร้าย
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เช่น สัตว์จำพวกที่มีเขี้ยวมีงา
สัตว์จำพวกที่มีกรงเล็บแหลมคม
สัตว์จำพวกที่มีพิษชนิดต่างๆ เป็นต้น

เพื่อลดความก้าวร้าวของจิตวิญญาณเหล่านี้
พระองค์ก็จะทรงออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้พวกเขามีความร้ายกาจลดลงด้วย
ตัวอย่างเช่น

ทรงกำหนดให้งูพิษไม่มีขา
จึงไม่สามารถจะไล่ฆ่าสัตว์อื่นอย่างโหดร้ายได้
งูจึงแสดงพิษร้ายได้ด้วยการแอบซุ่มเงียบ
เมื่อ "ตกใจ" เพราะถูกเหยียบย่ำหรือเข้าใกล้
จึงจะอนุญาตให้แสดงสัญชาตญาณก้าวร้าวได้

ทรงกำหนดให้งูมี "ตาปลอม" มี "รูหูปลอม"
แต่ทรงสร้างลิ้นสองแฉกที่เขาสามารถรับฟัง
คลื่นพลังงานจิตที่รับรู้แรงสั่นสะเทือนของสัตว์อื่น
แทนตาแทนหูได้อย่างน่ามหัศจรรย์งานสร้าง

ทรงกำหนดให้ "แมงป่อง" มีพิษอยู่ที่หาง
แทนที่จะกำหนดต่อมพิษเอาไว้ที่ส่วนหัว
เพื่อลดทอนพลังอำนาจในการทำร้ายผู้อื่นลง

ทรงกำหนดให้เป็นแมลงผึ้งแมลงต่อ
ซึ่งแม้จะมีพิษทำร้ายผู้อื่นได้ก็จริง
แต่พวกเขาจะต้องใช้เพื่อป้องกันรวงรังของตน
ในลักษณะของพลังร่วมแห่งหมู่คณะเท่านั้น
โดยทรงติดปีกให้พวกเขาบินสูงระดับยอดไม้
เพื่อให้ใช้ชีวิตต่างระดับกับสัตว์อื่น
ทั้งยังทรงกำหนดให้พวกเขาตัวใดก็ตาม
ถ้าใช้พิษแสดงความก้าวร้าวออกไปแล้ว
จะไม่อาจใช้พิษนั้นป้องกันตัวหรือทำร้ายใครได้อีก
เพราะจะทรง "ถอด" เหล็กไนหรือเข็มพิษทิ้ง

ไม่ต่างจากมนุษย์ที่อุตริใช้พลังจิต
คิดร้ายทำร้ายกายสังขารและจิตวิญญาณผู้อื่น
ด้วยพลังอภิญญาของจิตหยาบที่อุตริฝึกฝนมา
เมื่อเหวี่ยงพลังชั่วร้ายก้าวร้าวออกมา
พระองค์ก็จะทรงเก็บพลังจิตชั่วร้ายนั้นคืน
เมื่อใช้ไปเรื่อยๆพลังจิตก็จะเสื่อมถอยหมดสิ้น
คล้ายดั่ง "เข็มพิษ-เหล็กไน" ถูกถอดทิ้งนั่นเอง

ใครต้องการเรียนรู้เรื่องพระผู้สร้าง
เพื่อจะรู้จักและรักพระองค์มากขึ้น
อย่างไม่งมงายอีกต่อไป
โปรดยกมือขึ้นเถิดจะทรงเมตตาเล่าให้ลูกฟัง
ผ่านมาทางเราในตอนต่อไป

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/06/2021