12 มิถุนายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/06/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

12/06/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงเกี่ยวกับพระผู้สร้าง
ให้ท่านทั้งหลายได้รู้ต่อไปอีกว่า

เนื่องจากจิตวิญญาณแก่นแท้ผู้ขับเคลื่อน
เครื่องยนต์แห่งกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายนั้น
เป็นประดาจิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ทั้งชนิดที่กินเลือดเนื้อพวกเดียวกันเป็นอาหาร
กับชนิดที่กินพืชซึ่งพระบิดาปลูกไว้ให้เป็นอาหาร

สัตว์ที่มีจิตวิญญาณไดโนเสาร์ดุร้ายมาเกิด
จึงพกพาเอานิสัยดุร้ายก้าวร้าวนั้นติดตัวมาด้วย
โดยยังทำการไล่ล่าสัตว์ชนิดอื่นกินเป็นอาหารอยู่
เพราะจิตวิญญาณที่หลงมิติไปแล้วมิอาจเยียวยาได้

จิตวิญญาณไดโนเสาร์ตัวที่ดุร้ายน้อยกว่า
พระองค์จึงทรงอนุญาตให้เกิดเป็นสัตว์มีพิษแทน
ดังที่เราได้กล่าวให้ท่านทั้งหลายทราบมาแล้วนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หลังจากพระองค์ทรงสร้างสัตว์ประจำโลก
ให้ทำหน้าที่แทนเครื่องยนต์แห่งกรรมไดโนเสาร์
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกแล้ว
พระองค์ก็ทรงค้นพบว่าโลกยังต้องการพลังงานเพิ่ม
เนื่องจากจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมของสัตว์โลก
มีจำนวนไม่มากพอที่จะร่วมผลิตความรักให้โลกได้
อีกทั้งน้ำหนักมวลรวมของสัตว์และต้นไม้ป่าไม้
อยู่ในพิกัดที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นด้วยเช่นเดียวกัน

นี่หมายความว่า
ปัญหาใหม่ของพระผู้สร้างในขณะนั้นก็คือ
จำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมของสัตว์น้อยเกินไป
จนผลิตพลังงานความรักให้โลกในระดับสมดุลมิได้
โลกก็จะไม่สามารถค้ำจุนระบบสุริยจักรวาล
ไม่อาจค้ำจุนสมดุลให้กับกาแล็กซีธารสายน้ำนม
จนไม่อาจค้ำจุนอนันตจักรวาลหรือเอกภพได้ด้วย
เพราะว่าไดโนเสาร์จำนวนหนึ่งถูกย้ายไปดาวอื่น
ขณะที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ยุคใหม่ขึ้นมาแทน
ก็ล้วนมีขนาดเล็กกว่าไดโนเสาร์หลายสิบเท่าทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เองโจทย์ที่ต้องทรงใคร่ครวญก็คือ

1.พระองค์จะต้องสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้ทำหน้าที่ผลิตพลังงานความรักให้โลกเพิ่มขึ้นอีก
เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดทั้งพลังงานและน้ำหนักมวล

2.พระองค์จะทรงเลือกใช้วิธีสร้างต้นไม้ใหญ่เพิ่ม
จากจำนวนเดิมที่มีอยู่แล้วก็มิอาจกระทำได้
เพราะไม่มีแผ่นดินว่างเปล่ามากพอให้หยัดยืนอีก
เนื่องจากแผ่นดินโลกเต็มไปด้วยต้นไม้ป่าไม้แล้ว

3.พระองค์จะทรงเลือกใช้วิธีสร้างสัตว์เพิ่มขึ้น
แต่ก็มีปัญหาว่าจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระองค์มา
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมไดโนเสาร์นั้น
ไม่เหลือให้ใช้ขับเคลื่อนสัตว์ที่จะสร้างเพิ่มอีกแล้ว

4.ปัญหาสุดท้ายของพระผู้สร้างก็คือ
จะต้องมีจิตวิญญาณจากแดนสุญตา
ขันอาสาเข้ามาใหม่อีกรุ่นหนึ่ง
เพื่อให้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมของสัตว์โลกชนิดใหม่ที่จะทรงสร้างขึ้น

โดยหน้าที่หลักคือผลิตพลังงานความรักให้โลกได้
ด้วยการใช้อายตนะทำงานร่วมกับจิตและกายสังขาร
เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกในสองมิติได้เช่นสัตว์ทั่วไป

5.สิ่งที่พระองค์ต้องทรงพิจารณาต่อมาก็คือ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมแบบใหม่นั้น
จะทรงออกแบบอย่างไรจึงจะสวยงามแยบยล
จนเป็นรูปธรรมสองมิติที่อลังการณ์งานสร้างที่สุด
ที่สามารถผลิตพลังงานความรักให้โลกได้มากล้น
จนไม่ต้องสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมแบบใหม่ๆ
ให้วุ่นวายและยุ่งยากเหมือนที่ผ่านมาอีก
เพราะขณะนั้นทรงเห็นว่าโลกรกไปหมดแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เพราะทรงเห็นว่าโลกรกไปหมดแล้ว
พระองค์จึงทรงคิดค้นรูปแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่จะใช้ติดตั้งไว้ในระบบโลกเพื่อตอบโจทย์ให้ได้
ด้วยการเลือกใช้ดาวบางดวงใน 6 จาก 7 ระบบสุริยะ
ซึ่งพระองค์ทรงสร้างเอาไว้ในห้องทดลองใหญ่
ที่เรียกว่าเอกภพหรืออนันตจักรวาลไว้ก่อนแล้ว
ให้เป็นสถานที่ทดลองสร้างรูปธรรมใหม่นั่นเอง

พระองค์ทรงออกแบบทดลองสร้างสิ่งใหม่นี้
ด้วยจินตนาการของพระองค์เองล้วนๆ
โดยมีสิ่งที่ทรงคิดสร้างเอาไว้ดีแล้วเป็นแนวทาง
ครั้งนี้พระองค์ต้องใช้เวลาโลกทางกายภาพ
ค่อนข้างยาวนานกว่าทุกๆครั้งในการสร้างใหม่
เพราะพระองค์ต้องทดลองแล้วทดลองอีกว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้างนั้น
สามารถตอบโจทย์ของพระองค์ได้ทุกข้อ

สิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ๆจึงถูกสร้า่งขึ้นและดำรงอยู่
บนดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะนี้และที่ไกลโพ้น
แม้จะผ่านมาแล้วนานนับหมื่นๆปี
สิ่งมีชีวิตแบบต่างๆที่ทรงทดลองสร้างก็ยังมีอยู่
แม้พระองค์มิได้ทรงเลือกใช้งานในระบบโลก
ยังต้องทรงทดลองสร้างต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
พระองค์ก็มิได้ทรงทำลายทิ้ง
ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้เรียกพวกเขาว่า เอเลี่ยนส์ นั่นเอง

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่รุ่นแรก
ที่ทรงคิดว่าน่าจะเหมาะกับระบบโลกเสรีนี้
ซึ่งได้ถูกนำส่งเข้ามาทดลองใช้จริงเป็นครั้งแรก
คือ สิ่งมีชีวิตที่มีสองขาสองมือตามตัวมีขนดก
ท่าปกติจะมีลำตัวตั้งฉากกับพื้นเช่นเดียวกับต้นไม้
ส่วนศีรษะจะยื่นสู่ฟ้าเพื่อทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา

เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของสิ่งที่ทรงสร้างใหม่นี้
เป็นจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระองค์เข้ามาทำหน้าที่
โดยมีพันธะสัญญาว่าถ้าครบกำหนดจะต้องกลับบ้าน
จึงทรงออกแบบให้มีลักษณะต่างจากสัตว์ประจำโลก
ซึ่งสัตว์ทั่วไปจะมีลำตัวขนานไปกับพื้นอย่างชัดเจน
ซึ่งแปลความหมายว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกเรื่อยไป

ส่วนรูปธรรมใหม่ที่ทรงออกแบบสร้าง
ให้ส่วนศีรษะยกตั้งขึ้นสู่ฟ้าเข้าหาพระองค์
ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจิตวิญญาณต้องคืนกลับ
ไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงอนุญาตให้มา
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในตอนสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่
ที่ทรงส่งเข้ามายังระบบโลกรุ่นทดลอง
ซึ่งถูกสร้างต้นแบบขึ้นบนดาวดวงอื่นนั้น
พระองค์ทรงเรียกว่า สตีฟฟา

เมื่อถูกนำมาใช้จริงก็พบว่ายังขาดความเหมาะสม
ยังไม่สามารถตอบโจทย์ของพระองค์ได้ครบถ้วน
พระองค์จึงทรงยกเลิกเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้
โดยหลักฐานของ "สตีฟฟา" ที่ถูกยกเลิกไปนั้น
เป็นกระดูกหน้าแข้งของเขาชิ้นหนึ่ง
ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในสหรัฐ
โดยมนุษย์เข้าใจว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกไดโนเสาร์

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ในการสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมแบบใหม่
ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นมานั้นมีเงื่อนไขมาก
งานสร้างของพระองค์จึงยากยิ่งกว่าที่ผ่านมา
โดยเงื่อนไขการสร้างหลักๆที่ว่ายากนั้นมีดังนี้

1.จะต้องใช้ขันธ์ 5 สั่นสะเทือนในสองมิติ
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักในมิติจิตวิญญาณ
และแสดงพฤติกรรมด้านบวกต่อโลกและทุกสิ่งได้

2.จะต้องใช้ขันธ์ 5 สั่นสะเทือนเป็นธรรมจักร
เพื่อเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้ตลอดเวลา
โดยผลิตพลังงานความรักให้โลกได้ไม่มีประมาณ

3.จะต้องมีกลไกที่ใช้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า จิตหยาบ นี่แหละ
เพื่อป้องกันมิให้จิตวิญญาณเสียหายเพราะหลงมิติ
ในแบบของจิตวิญญาณไดโนเสาร์ที่กินเนื้อ
เพราะไดโนเสาร์ไม่มี "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทนให้

4.จะต้องเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมแบบพิเศษ
ที่มีอำนาจทางปัญญาในการดำเนินชีวิต

เพื่อช่วยเกื้อกูลต่อการแสดงความรักในขันธ์ 5
เช่น รักคนไม่น่ารักได้ อภัยคนไม่น่าให้อภัยเป็น
ด้วยความฉลาดทางปัญญาอันเป็นที่มาของ สมอง
ซึ่งในสัตว์ทั้งหลายใช้แต่ สัญชาตญาณ เท่านั้น

ถ้ารูปธรรมที่สร้างใหม่
สามารถผลิตความรักจากขันธ์ 5 ได้ตลอดเวลา
ดาวเคราะห์โลกก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมที่จะทรงสร้างใหม่
จึงทรงเน้นให้ใช้สมองคู่ไปกับสัญชาตญาณด้วย
ซึ่งปัจจุบันนี้พวกท่านเรียกกันว่า มนุษย์ นั่นเอง

พระบิดาจะทรงเล่าต่อ
ท่านใดพร้อมใจที่จะฟังก็จงยกมือขึ้นเถิด

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/06/2021