11 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะบัดนี้มนุษย์กับโลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายจักต้องกลับบ้าน
ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดา
ก่อนจะข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรก

คำว่า สิ้นยุคพลังงานเก่า ในที่นี้เราหมายถึง
ยุคที่ "จิตวิญญาณ" ผู้เป็นแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับ ดาวเคราะห์โลก
ในการผลิตสร้าง พลังงานความรักบริสุทธิ์
ในแบบ รักเพื่อให้ ที่เป็น คลื่นพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปของ คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่สองตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็น

โดยต้นหญ้าป่าไม้ทุกต้นและสัตว์ประจำโลกทุกตัว
แม้พวกเขาจะมีรูปลักษณ์ตัวตนแตกต่างจากมนุษย์
แต่ก็ทำหน้าที่ให้พลังงานความรักแก่โลกเหมือนกัน

สัตว์ประจำโลกทั้งหลายไม่มีจิตหยาบเหมือนมนุษย์
พวกเขาก็จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 ไปตามธรรมชาติ
โดยใช้สัญชาตญาณแห่งการรักพวกพ้องที่มีอยู่
เป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการผลิตความรักให้โลก
ในมิติทางพลังงานผ่านการรักพวกพ้องนั่นเอง

นอกจากนั้นความน่ารักของพวกเขา
ยังจะเป็นเงื่อนไขให้ท่านทั้งหลายที่ได้พบเห็น
เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตเป็นด้านบวกได้เสมอ

ส่วนต้นหญ้าป่าไม้ในธรรมชาติ
ก็จะมีกลุ่มพลังงานคอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนระบบ
เพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ออกมามอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกและทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งมนุษย์จะรับรู้เรื่องนี้ได้จากการบริโภคพืชผักผลไม้
แล้วรับเอา พลังงานชีวิต จากพวกเขาเข้าสู่ร่างกาย
จะรู้สึกเยียบเย็นแสนสบายเมื่ออยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
จะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสเมื่อได้เห็นสีเขียวขจีของใบไม้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

สาเหตุที่พวกท่านขันอาสามาเกิดกันในระบบโลก
เพราะต้องช่วยกันแบกขนเอาพลังงานความรัก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกบริสุทธิ์
ที่ดาวเคราะห์โลกต้องการแต่ไม่มีแหล่งพลังงานนี้
นอกจากจะแบกขนข้ามมิติเข้ามาในระบบโลก
จากนอกระบบเอกภพหรือ #อนันตจักรวาล เท่านั้น

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
โลกเสรีนี้จะได้รับพลังงานความรักจากมนุษย์
ก็ต่อเมื่อ จิตหยาบ ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
สั่นสะเทือนตนเองร่วมกับอายตนะและสมอง
เมื่อมีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าต่างๆเกิดขึ้น
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 ที่พระบิดาออกแบบไว้
ให้มันสั่นสะเทือน จิตสามนึกด้านบวก ให้จงได้
ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
นี่คือวิธีการผลิตสร้างพลังงานด้านบวกให้กับโลก

แต่เนื่องจากกระบวนการของขันธ์ 5 ที่ว่านี้
เป็นกระบวนการสั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้ของจิต
ในการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมระหว่างวัน
โดยพระบิดาทรงวางแผนออกแบบผิดๆเอาไว้ให้
มนุษย์โลกต้องเรียนรู้ที่จะแทรกแซงหรือแก้ไขมัน
จะสั่นสะเทือนไปตามกระบวนการที่ผิดๆนั้นไม่ได้

ถ้ามนุษย์ใช้มันไปตามแบบผิดๆที่ทรงกำหนดไว้
โดยยอมให้ "ขันธ์ 5" เป็นไปตามอัตโนมัติแล้ว
จิตวิญญาณก็จะไม่สามารถผลิตพลังงานความรัก
มอบให้ดาวเคราะห์โลกและทุกสรรพสิ่งได้เลย
จะทำให้จิตวิญญาณล้มเหลวในภารกิจของพระเจ้า
อีกทั้งยังจะก่อทุกข์กองใหญ่ให้แก่จิตวิญญาณด้วย
โดยจิตหยาบของมนุษย์เองนี่แหละเป็นผู้ก่อกรรม
เพราะไม่ล่วงรู้อนุตรธรรมความจริงที่ว่านี้

ทุกข์กองใหญ่ที่จิตวิญญาณต้องเผชิญ
คือ สิ่งที่เรียกว่า กฎแห่งกรรม และอื่น
เช่น การต้องไปนรก การมีชะตากรรมให้แก้ไข
การมีกรรมเป็นกำเนิด การมีสังสารวัฏ เป็นต้น

พระบิดาทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณพวกท่าน
เข้ามาทำหน้าที่อันสำคัญนี้ภายในหนึ่งยุค
โดยกำหนดเวลาไว้ที่ 6 หมื่นปีโลกเท่านั้น
ซึ่งบัดนี้ได้ครบตามกำหนดเวลาหรือสิ้นยุคแล้ว
จิตหยาบโดยท่านทั้งหลายทั่วทั้งโลกเสรี
จักต้องส่งจิตวิญญาณแก่นแท้หรือตัวจริงของท่าน
ให้หลุดพ้นนิพพานออกไปจาก อนันตจักรวาล
เพื่อคืนกลับบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้าทรงรออยู่

ปฏิบัติการที่จะนำแก่นแท้กลับบ้านได้ในชาตินี้
มิได้มีอะไรยากเย็นเกินขีดความสามารถหรอก
ขอแต่เพียงท่านทั้งหลายจงลืมตาขึ้น
แล้วเลิกก้าวตามคนนำทางตาบอดในแบบเดิมอีก
เลิกปลีกตัวไปนั่งปิดอายตนะเพ่งจิตตนอยู่คนเดียว
ละวางความเชื่อที่ว่าดับขันธ์ห้าได้จิตวิญญาณก็ดับ
แสดงว่าตนนั้นนิพพานได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ท่านจงจำเอาไว้เสมอว่า
การที่จิตวิญญาณพวกท่านมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
วัตถุประสงค์คือขนความรักจากพระบิดามาฝากโลก
เพื่อให้โลกนำพลังงานความรักไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในการจุดระเบิดอะตอมของก้อนธาตุออกซิเจน
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ในแกนชั้นในสุดของโลก
เพื่อทำให้โลกหมุนรอบตัวเองขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง
จนทำให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้เกิดความสมดุล

จงจำกันไว้เถิดว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านในทุกชนชาติศาสนา
มิได้เป็นจริงตามความเชื่อของคนนำทางตาบอด
ที่เพียรสืบสอนพวกท่านจนฝังหัวกันมาว่า

1.จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
เป็นเหมือนนักเดินทางหรือผู้พเนจรร่อนเร่เรื่อยมา
ไม่มีหัวนอน ไม่มีปลายเท้า ไม่มีถิ่นเกิด
ไม่มีบ้านเกิด ไม่มีบุรพการีผู้ให้กำเนิด

2.จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
เป็นผู้มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะเหตุ บังเอิญ
จึงเชื่อว่าตนไม่มีใครบงการให้ต้องมาเกิด
เมื่อเกิดแล้วจิตวิญญาณก็ไม่มีหน้าที่อะไรจะต้องทำ
นอกจากพันธกิจพันธกรรมทางโลกที่วุ่นวายเท่านั้น

3.จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
ไม่น่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์เลย
เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายมากด้วยปัญหา
มาเกิดแล้วก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ไม่เว้นว่าง
แถมยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
โดยมีกฎแห่งกรรมเป็นตัวบังคับให้เกิดใหม่
ทำให้ต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างไม่รู้สิ้นสุด

เพราะความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้
คนนำทางตาบอดจึงพาพวกท่านละทิ้งสังคม
เพื่อพยายามที่จะหนีทุกข์ในเบื้องต้น
แล้วหาทางหยุดการมีสังสารวัฏให้ได้
โดยตัวชี้วัดคือตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดใหม่อีก
ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจิตวิญญาณของตนดับสูญแล้ว

นิยามคำว่า นิพพาน ของพวกเขา
จึงแปลว่าการดับสูญของรูปธรรมจิตวิญญาณ
เหมือนดั่งเปลวเทียนที่ดับไป
แต่ลืมไปว่าแท่งเทียนกับไส้เทียนนั้นยังคงมีอยู่
ซึ่งพระองค์ตรัสว่าเป็นนิพพานเทียมเท็จ

เมื่อพวกเขาเชื่อมั่นผิดๆกันมาอย่างนี้
จิตวิญญาณผู้ขันอาสาแบกขนความรักมาให้โลก
เพื่อที่จะสั่นสะเทือนตามกระบวนการของขันธ์ 5
ให้เกิดเป็นจิตสามนึกด้านบวกขึ้นมาให้ได้
จึงเสียทีที่ได้โอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ตลอดมา
ทั้งยังพยายามที่จะดับขันธ์ 5 ขณะยังมีชีวิตอีกด้วย
ซึ่งแท้แล้วสิ่งที่สมควรทำก็คือต้องแทรกแซงขันธ์ 5
เพื่อเปลี่ยนกรรมจักรให้เป็นธรรมจักรแทน

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นความจริงระดับอนุตรธรรม
ที่พระศาสดาผู้มาจากโลกเองมิเคยกล่าวไว้
มันจึงเป็นความรู้ใหม่ที่ท่านไม่เคยรู้ว่าไม่รู้

ถ้าพวกท่านปฏิเสธอนุตรธรรมที่เรากล่าวมา
การหลงทางนิพพานก็จะยังคงอยู่ต่อไป
จิตวิญญาณจำนวนมากมายจะนิพพานแท้จริง
โดยหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ไม่ได้
ก็จะกลายเป็นขยะอันไม่พึงประสงค์อยู่ในนี้
ที่รอวันถูกชำระทิ้งเหมือนละอองฝุ่น พีเอ็ม 2.5

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/05/2021