29 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/05/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อพระบิดาทรงกำหนดสร้างสัตว์ชนิดแรก
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ก็ทรงดำริให้จิตวิญญาณอาสาจากแดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพหรืออนันตจักรวาล
พากันเดินทางข้ามมิติเข้ามาในระบบโลก
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมไดโนเสาร์
ตามแบบแผนที่ทรงได้ออกแบบไว้แล้วนั้น

เนื่องจากพระองค์ทรงมี "ต้นไม้ใหญ่"
ที่ทรงกำหนดสร้างไว้ตั้งแต่แรก
เป็นต้นไม้ป่าไม้ที่ต้องทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
โดยต้องดำรงอยู่คู่โลกนี้ตลอดไป

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ก็จะต้องทำหน้าที่เป็นสัตว์ประจำโลกเช่นกัน
หมายความว่า "จิตวิญญาณ" ที่อาสาพระองค์มา
จักต้องทำหน้าที่ค้ำจุนโลกอยู่ตลอดไปนั่นเอง
โดยพวกเขาจักมีอายุยืนและเติบโตอยู่บนโลกนี้
ไม่ต่างจากต้นไม้ประจำโลกที่ทรงสร้างไว้แล้ว

เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ต้องเคลื่อนที่โยกย้ายตนเองไปตามป่าเขารกทึบ
ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่หลากหลาย
ไดโนเสาร์ของพระองค์จึงต้องสัมผัสรู้ดูเห็น
สิ่งต่างๆที่อยู่รายรอบตัวเองเพื่อการมีชีวิตรอด
ทั้งที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงและกายสัมผัสครบครัน

นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบกลไกอายตนะ
ให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์ได้ใช้

ทรงสร้างสองตาเอาไว้ให้สัมผัสมายารูปลักษณ์
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของแสงสะท้อนจากสิ่งที่เห็น
ทรงสร้างสองหูเอาไว้ให้สัมผัสกับคลื่นเสียง
ที่สั่นสะเทือนเป็นความถี่จากต้นกำเนิดเสียงนั้น
ทรงสร้างจมูกสองรู้เอาไว้ให้สัมผัสกับกลิ่น
ที่แผ่ผ่านออกมาจากต้นกำเนิดของกลิ่นนั้น
ทรงสร้างปุ่มรับรู้รสชาติเอาไว้ที่ลิ้น
เมื่อคาบเคี้ยวอาหารนั้นๆอยู่ในปาก
ทรงสร้างกลไกการรับรู้ร้อนหนาวทางร่างกาย
ขณะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง
กลไกอายตนะภายนอกทั้งหลายเหล่านี้
จะเป็นเครื่องช่วยให้ไดโนเสาร์ของพระองค์
มีชีวิตรอดอยู่บนโลกเสรีนี้ได้อย่างปลอดภัย

ปัญหาของพระองค์ขั้นต่อไปก็คือ
จะทรงติดตั้งกลไกทั้งห้าเอาไว้ตรงไหน
จึงจะใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
จึงจะเหมาะสมที่สุด
จึงจะแลดูสวยงามลงตัวที่สุด

เนื่องจาก
การสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมภายนอก
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์นั้น
ผู้ที่จะต้องรับรู้ข้อมูลก็คือ "จิตวิญญาณ"
ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เช่น ถ้าเห็นว่าข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ขวางอยู่
จิตวิญญาณก็จะสั่งกายให้เลื้อยเลี่ยงหลบไป
ถ้าร่างกายรู้ว่าขณะนั้นอากาศหนาวเย็นมากๆ
ก็จะสั่งให้สี่เท้าพาตนเองหลบหนาวเข้าถ้ำ เป็นต้น

แต่เนื่องจากจิตวิญญาณเป็นผู้รับรู้และสั่งกาย
พระองค์จึงต้องทรงกำหนดรูปแบบกระบวนการ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นของอายตนะภายนอกทั้งห้า
ให้เชื่อมโยงไว้กับจิตวิญญาณโดยตรงทุกช่องทาง
โดยทรงกำหนดให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
เป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้
สิ่งแวดล้อมภายนอกที่จิตวิญญาณเองมิอาจรู้เห็น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อทรงกำหนดขั้นตอนได้อย่างชัดเจนแล้วว่า
ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสของไดโนเสาร์ของพระองค์
ต้องสั่นสะเทือนเข้าไปให้จิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน
ให้ได้รับรู้ข้อมูลว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
จิตวิญญาณจะตอบสนองสิ่งที่ตนรับรู้มานั้นอย่างไร
จึงจะบังเกิดผลกรรมทั้งสองมิติได้ตามพระประสงค์

วิธีการคิดพิจารณาของพระองค์เป็นลำดับมาดั่งนี้
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์ที่ทรงสร้าง
จึงมีตัวตนรูปลักษณ์อย่างที่เห็นก็คือ

1.กลไกอายตนะทั้งห้าทรงติดตั้งเอาไว้ที่ส่วนหัว
เพราะทรงติดตั้งจิตวิญญาณเอาไว้ที่ส่วนหัว
จะสามารถทำงานร่วมกันในกระบวนการรับรู้ได้ดี

2.ทรงติดตั้งประสาทสมองเอาไว้ที่ส่วนหัว
เพื่อให้จิตวิญญาณทำหน้าที่สั่งกายผ่านสมอง
ในการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใดๆ
ที่จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ตัวนั้นต้องการ
เพราะจิตวิญญาณจะสั่งกายสังขารโดยตรงไม่ได้
เช่น สั่งให้สี่เท้าก้าวหน้าถอยหลังเลี้ยวซ้ายขวา
เหลียวซ้ายแลขวา หันหน้าเผชิญ เดินเลี่ยงหนี
พฤติกรรมเหล่านี้จักต้องสั่งผ่านสมองทั้งนั้น

3.ทรงติดตั้งต่อมไร้ท่อต่างๆเอาไว้ด้วย
โดยกำหนดให้มันเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ที่จะช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน
ให้เป็นไปตามแบบที่ทรงกำหนดไว้อย่างแม่นยำ
เช่น การทำงานของกระเพาะอาหาร ลำไส้
ตับ ไต ปอด หัวใจ และ อื่นๆ

นอกจากนั้น
ยังทรงกำหนดให้ต่อมไร้ท่อเหล่านี้
ร่วมกันทำหน้าที่ในมิติทางพลังงานที่แยบยล
เพื่อการผลิตพลังงานความรักให้โลก
ในนามของจิตวิญญาณอีกต่างหากด้วย

เพื่อให้แผนการของพระองค์
ในการกำหนดให้ไดโนเสาร์
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ทำงานได้สองมิติ
จึงทรงกำหนดให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ใช้กระบวนการ ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือ คือ

1.อายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็จะเกิด รูป

2.จิตวิญญาณจะรู้ว่ารูปอะไรจะได้จาก สัญญา
จากการจำได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ถ้ายังไม่รู้ก็จะเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูก
เมื่อได้เรียนรู้แล้วก็จะจำไว้ในสัญญาต่อไป

3.พอได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็จะเกิด เวทนา
อันหมายถึงจะเกิดความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ
จะเกิดความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ขึ้นมา

4.เมื่อบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วก็จะเกิด สังขาร
อันหมายถึงจิตวิญญาณจะนำความรู้สึกที่เกิดขึ้น
มาแปลเป็นความต้องการหรือไม่ต้องการ
แล้วให้สมองกำหนดพฤติกรรมทางกายใดๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการนั้นๆต่อไป

5.ขณะที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือน
เป็นความต้องการไม่ต้องการ พอใจไม่พอใจ
มีความสุขสงบ หรือมีความรักต่อสิ่งนั้นๆ
ต่อมไร้ท่อที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้
ก็จะร่วมกันสั่นสะเทือนตามไปด้วย

ถ้าจิตวิญญาณสั่นสะเทือนด้านบวกเป็นความรัก
ก็จะผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
ถ้าจิตวิญญาณสั่นสะเทือนด้านลบเป็นความร้าย
ก็จะผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบออกมา

พลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่ไดโนเสาร์ผลิตออกมา
ในทุกขณะจิตที่อายตนะทั้งหมดเปิดกว้างอยู่นี้
พระศาสดาที่เกิดจากโลกทรงเรียกว่า วิญญาณ
ซึ่งหมายถึงวิญญาณขันธ์ตัวที่ 5 นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราพากเพียรที่จะนำเอาแรงบันดาลใจ
ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไดโนเสาร์
ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกขึ้นมาบนโลกเสรีนี้
ด้วยพระปัญญาปาฏิหาริย์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
มาเปิดเผยให้พวกท่านได้คิดตามพระองค์
ในบางมิติแห่งการคิดเท่าที่พอจะถ่ายทอดได้

เพื่อยืนยันว่า
พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างที่แท้จริง
ทั้งโลก ต้นไม้ ไดโนเสาร์ ที่เรากล่าวมา
มิได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
มิได้ถูกสาดออกมาจากกระบวนการบิ๊กแบ็ง

เพื่อสร้างสติทางวิญญาณแก่พวกท่านว่า
จงอย่าปฏิเสธพระองค์
เพราะเชื่อวิทยาศาตร์ทางกายภาพอีกต่อไปเลย

แม้ว่าบทนี้เรายังจะมิได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจ
ที่ทรงกำหนดสร้าง "มนุษย์" อย่างพวกท่านก็ตาม
แต่ท่านจักต้องรู้ว่า

การปฏิเสธพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
มันคือการทำตนเป็นบุตรกำพร้าพ่อแม่
การกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระบิดา
มันคือบุตรเนรคุณ
การจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้
มันคือบุตรอกตัญญู

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/05/2021