03 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 03/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

03/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เรื่องของ "ขันธ์ 5"
ที่ทางศาสนาได้กล่าวสืบทอดกันมา
โดยคนนำทางตาบอดจนกระทั่งปัจจุบันนั้น
เราจะกล่าวในพระนามแห่ง พระบิดาฯ ว่า
มันเป็นการคิดเข้าใจผิดและสร้างความเชื่อผิด
จนเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
ประพฤติธรรมกันมานานแต่ยัง "นิพพาน" ไม่ได้
ถือบวชกันมายาวนานแต่ก็ยัง "หลุดพ้น" ไม่ได้

ความเข้าใจผิดเรื่อง "ขันธ์ 5" ที่ว่านี้ ก็คือ
คนนำทางตาบอดแปลความว่า "ขันธ์ 5"
อันมีรูป สัญญา เวทนา สังขารและวิญญาณนั้น
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็น "มนุษย์"
โดยระบุว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีขันธ์ 5 นี้ทั้งสิ้น
แล้วก็อรรถาธิบายขยายความว่า

1. รูป
หมายถึง รูปธรรมมนุษย์ทั้งชายและหญิง

2. สัญญา
หมายถึง คุณสมบัติหนึ่งของจิตมนุษย์
ในการจำทุกประสบการณ์ที่ตนรับรู้หรือเรียนรู้
และการจำอารมณ์รู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตไว้

3. เวทนา
หมายถึง ความรู้สึกซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตมนุษย์
ที่จะเกิดขึ้นเสมอเมื่อใดก็ตามที่จิตมีการรับรู้สิ่งเร้า
ทั้งจากแวดล้อมภายนอกและจากจิตเองที่อยู่ภายใน

4. สังขาร
หมายถึง คุณสมบัติของจิตมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง
ที่สามารถปรุงแต่งเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ด้วยจิตและปัญญาของสมองได้

5. วิญญาณ
หมายถึง จิตวิญญาณแก่นแท้ของแต่ละคน
ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์และผู้ตายจากการเป็นมนุษย์
ในแต่ละภพชาตินั้นๆ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หากท่านใช้สติปัญญาพิจารณา
ที่คนนำทางตาบอดอรรถาธิบายขันธ์ห้าไว้ว่า
เป็นองค์ประกอบหลักแห่งการเป็นมนุษย์แล้ว
ท่านก็จะเห็นพ้องคล้องตามพวกเขาไปทันที
เพราะมันฟังดูดีมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

แต่เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
เพราะเชื่อตามกันมาเยี่ยงนี้นี่แหละ
จึงเกิดกรณีคนตาบอดนำทางคนตาบอดขึ้น
แล้วพากันหลงทางนิพพานจนมิอาจหลุดพ้น
จนไม่สามารถบรรลุมรรคผลของจิตวิญญาณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ได้
ทั้งคนนำทางตาบอดเองและผู้ก้าวตาม

คำว่า ตาบอด หมายความว่าขาดปัญญา
คำว่า "ขาดปัญญา" หมายถึง ขาดการรู้แจ้ง

เพราะหลงผิดคิดกันไปเองว่า

1.ขันธ์ห้าเป็นองค์ประกอบสำคัญของมนุษย์
2.ขันธ์ห้าเป็นตัวตนของตนที่เรียกว่ามนุษย์
3.เมื่อมาเกิดชาติไหนๆก็จะมีขันธ์ห้าเสมอ
4.ถ้าตายไปขันธ์ห้าก็จะดับสลายหายไปด้วย
5.ถ้ากลับมาเกิดใหม่อีกก็จะมีขันธ์ห้าอีกเรื่อยไป

คนนำทางตาบอดจึงพบทุกข์พบธรรมว่า
การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์อย่างไม่รู้สิ้นสุด
หรือการมีสังสารวัฏนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
การตายไปแล้วต้องตกนรกนั้นก็ทุกข์
การกลับมาเกิดใหม่โดยมีกรรมเป็นกำเนิด
เพราะตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรมนี้ก็ทุกข์

การเกิดมาแล้วต้องมีขันธ์ 5
ในแต่ละขันธ์ทั้งห้าพิจารณาแล้วก็ว่าทุกข์อีก

ดังนั้น
คนนำทางตาบอดจึงสรุปเอาเหมารวมว่า
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเต็มไปด้วย กองทุกข์
อันหมายถึงการมีทุกข์กองใหญ่เบ้อเร่อนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
คนนำทางตาบอดจึงพากันเชื่อว่า
การมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ถ้าตนสามารถดับการเกิดดับของภพชาติได้
คือตายแล้วไม่ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
มันจะช่วยให้ตนคือจิตวิญญาณพ้นทุกข์ได้สิ้นเชิง
ซึ่งพวกเขาเรียกว่า นิพพาน ทางจิตวิญญาณ

โดยพวกเขาลืมถามตนเองว่า

1.จิตวิญญาณของตนมาจากไหน
2.จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
3.ใครให้โอกาสจิตวิญญาณของตนมาเกิด
4.จิตวิญญาณของตนมาเกิดเพื่อทำอะไรหรือเปล่า
5.ถ้าจิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดแล้วจะไปอยู่ไหน

เพราะคนนำทางตาบอดลืมคิดเรื่องเหล่านี้
พวกเขาจึงตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม
โดยมุ่งนิพพานกองทุกข์ให้หมดอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งพวกเขามองว่าถ้าจะดับกองทุกข์ได้
จะต้องดับให้สิ้นที่ขันธ์ห้า

ความคิดในแผนปฏิบัติของพวกเขา
เพื่อจัดการกับ "กองทุกข์" ทั้งปวงที่ว่ามา
จึงมีกระบวนการจัดการดังต่อไปนี้

1. ดับรูปธรรม ก็คือเมื่อตายแล้วต้องไม่เกิดอีก
2. ดับสัญญา ก็คือจิตต้องว่างจากการจำได้หมายรู้
3. ดับเวทนา ก็คือจิตต้องว่างจากกิเลสให้สิ้น
4. ดับสังขาร ก็คือจิตต้องว่างจากการปรุงแต่ง
มิให้เกิดตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะทั้งปวง
5. ดับจิตวิญญาณ ก็คือจิตวิญญาณต้องดับสูญ

โดยคนนำทางตาบอดให้เหตุผลว่า
ถ้าจิตวิญญาณสามารถดับกองทุกข์ได้หมดสิ้น
จิตวิญญาณนั้นๆก็คือตนเองย่อมไม่ทุกข์อีกแล้ว
เมื่อจิตวิญญาณของตนว่างไปจาก "กองทุกข์"
ความมีอัตตาตัวตนของจิตวิญญาณของตน
ซึ่งเคยเป็นผู้บอกว่า "มีทุกข์" มันก็ว่างไปด้วย

ดังนั้น
คนนำทางตาบอดจึงเชื่อว่า
การว่างไปจากตัวตนของผู้รู้ทุกข์เพราะสิ้นทุกข์
จึงเป็นมรรคผลสูงสุดของผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว
จากรุ่นสู่รุ่นของคนนำทางตาบอดทั้งหลาย
จึงอบรมธรรมจำจดกันมาแบบนี้จนถึงวันนี้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แผนที่การคิดแผนที่การปฏิบัติธรรม
ที่เราพากเพียรเขียนขึ้นมาทั้งหมดในบทนี้
เพื่อสรุปย่อๆให้ประดาเจ้าสาวของเราทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ว่ามันเป็น "ความเชื่อ" มิใช่ความจริง
เพราะคนนำทางตาบอดตั้งโจทย์ผิด
วิธีการจึงผิดบิดเบือนไปจากสัจธรรมความจริง

จึงพากันหลงทางนิพพาน
ด้วยการ "หลุดลอย" ไปค้างในที่ว่างของจักรวาล
จะไปต่อก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องไปไหน
จะกลับลงมาก็ไม่รู้ว่าจะหลุดลงมาได้อย่างไร
เป็นความทุกข์ก้อนใหม่ที่เผชิญโดยไม่คาดคิด

บทเรียนบทนี้
เราขอย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
เป็นความเชื่อที่ผิด เป็นวิธีคิดที่ผิด
จนนำมาสู่การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องในชีวิตจริง
ยังผลให้จิตวิญญาณแก่นแท้พวกท่าน
ต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากมหาศาลมานานแล้ว

บัดนี้โลกเสรีสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านต้องกลับบ้าน
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงรออยู่

อย่าคิดแค่ว่าจิตวิญญาณดับสูญก็จบแล้ว
อย่าเชื่อว่าดับทุกข์ได้สิ้นคือนิพพานแล้ว
อย่าเชื่อด้วยว่าเป็นอรหันต์นั่นคือบรรลุแล้ว
อย่าเชื่อว่าจิตวิญญาณนิพพานได้ไร้อัตตาแล้ว

เราขอถ่ายทอดความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
ของคนนำทางตาบอดทั้งหลาย
ที่สร้าง Mind Set ไม่ถูกต้องให้พวกท่านมานาน
เพื่อจะช่วยถอดรหัสความเชื่อผิดๆนี้ออกให้
โดยเราจะให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พวกท่าน
อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงแก่นในบทเรียนบทต่อๆไป

ใครใคร่จะรู้โปรดยกมือขึ้น

แล้วช่วยกรุณาบอกเราด้วยว่า
นี่เป็นความรู้เก่าๆซ้ำซากของท่านหรือเปล่า

ความรู้ที่เป็นอนุตรธรรมความจริงนี้
มันควรค่าแก่การสนใจน้อยกว่าการสอน
ให้สั่งจิตเพื่อรวยด้วยอำนาจกิเลสหรือเปล่า

มันมีค่าน้อยกว่าสอนการจูนจิต
มีค่าน้อยกว่าสอนการเชื่อมจิต
มีค่าน้อยกว่าการสอนอุตริปาฏิหาริย์
ที่ล้วนหาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้ว่ารู้ไปเพื่ออะไร
เชื่อตามทำตามแล้วได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า

ช่วยกรุณาบอกเราทีเถิด

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3/05/2021