06 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 06/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

06/05/2021

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะมนุษย์ทั้งหลายเข้าใจผิดเรื่อง "ขันธ์ 5"
จึงทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านทุกคน
ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจตามที่ขันอาสาพระบิดาได้
เพราะ "จิตหยาบ" ผู้เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของตนที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
จึงมองเรื่องขันธ์ห้าผิดไปจากพระประสงค์

คนนำทางตาบอดมองขันธ์ 5 ว่า
เป็นองค์ประกอบหลักของมนุษย์ทุกคนที่ต้องมี
อันประกอบด้วย "รูปธรรม" และ "นามธรรม" คือ
#รูป #สัญญา #เวทนา #สังขาร และ #วิญญาณ
โดยมองว่าทั้ง 5 ขันธ์นี้เป็นเหตุแห่งทุกข์กองใหญ่
หากสามารถดับขันธ์ทั้งห้านี้ได้ตนก็จะพ้นทุกข์
เมื่อพ้นทุกข์ได้จากการดับขันธ์ 5 แล้ว
ตัวตนของตนคือจิตวิญญาณก็ย่อมดับสูญไปด้วย
เนื่องจากไม่มีใครที่จะมีทุกข์แบกทุกข์กันอีกแล้ว
อันหมายถึงจิตวิญญาณก็นิพพานแล้วนั่นเอง

ความเชื่อผิดๆและเข้าใจผิดที่ว่านี้
เหตุเพราะมองขันธ์ 5 ว่าเป็นที่มาแห่งทุกข์
และยังมองว่า "วิญญาณ" ในขันธ์ที่ห้านั้น
หมายถึง "จิตวิญญาณ" แก่นแท้ของตน
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงเลย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

แท้แล้ว "ขันธ์ 5" นี้
เป็นกระบวนการทำงานของ "จิตหยาบ"
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้าง
ทรงออกแบบติดตั้งเอาไว้ให้เป็นระบบอัตโนมัติ
ที่มนุษย์ทุกคนตั้งแต่อายุ 3 ขวบปีบริบูรณ์
จะเกิดกระบวนการสั่นสะเทือนทางจิตขึ้นทันที
เมื่อมีการสัมผัสรู้ดูเห็น "สิ่งเร้า" ภายนอก
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
รวมทั้งการรับรู้ "สิ่งเร้าภายใน" ของจิตเอง

จิตหยาบของมนุษย์เมื่อได้รับรู้สิ่งเร้าใดๆ
มันจะสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องเป็น 5 ขั้นตอน
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้ดังนี้

1.เมื่อตา หู จมูก ลิ้นและกายอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อเกิดการสัมผัสรู้ดูเห็นอะไรก็ตาม
มันจะส่งข้อมูลการสัมผัสนั้นไปยังตาที่สาม
อันเป็นที่ตั้งของ "จิตหยาบ" ของท่าน

2.จิตหยาบตรงตาที่สามของพวกท่าน
จะสั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้ข้อมูลที่ถูกส่งมาให้ทันที
เพื่อบอกตนเองให้รู้ว่าอายตนะนั้นรับรู้ดูเห็นอะไรอยู่

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การทำงานของจิตหยาบร่วมกับอายตนะของท่าน
เมื่อสั่นสะเทือนเรื่อยมาถึงขั้นตอนนี้นั้น
มันคือการเกิด "ขันธ์ที่ 1" อันหมายถึง รูป นั่นเอง

3.เมื่อจิตหยาบ "รับรู้" รูปธรรมหรือนามธรรมนั้นแล้ว
จิตหยาบก็จะ "บันทึก" ข้อมูลที่รับรู้ไว้เป็นความทรงจำ
ซึ่งมีทั้งที่เป็นตัวตนเป็นเรื่องราวและอารมณ์ต่างๆด้วย
จึงรวมเรียกความทรงจำนี้ว่า การจำได้หมายรู้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนถึงขั้นตอนจำได้หมายรู้นี้
มันคือการเกิด "ขันธ์ที่ 2" หมายถึง สัญญา นั่นเอง

4.เมื่อจิตหยาบของพวกท่าน
เกิดการรับรู้สิ่งเร้าภายนอกหรือภายในมาแล้ว
กระบวนการทางจิตที่พระบิดาทรงออกแบบไว้ก็คือ
จิตหยาบของท่านจะสั่นสะเทือนเพื่อ รับเอา ทันที

การ "รับรู้แล้วรับเอา" ในขั้นตอนนี้
คือการสั่นสะเทือนของ "จิตหยาบ"
เพื่อตอบสนอง "สิ่งเร้า" ที่กำลังรับรู้อยู่นั่นเอง

คลื่นความถี่ของจิต
ที่สั่นสะเทือนเป็นการรับเอาดังกล่าวนี้
จะเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ
เพราะจิตเพิ่งจะเริ่มต้นการสั่นสะเทือนจากศูนย์

พระบิดาทรงเรียกคลื่นความถี่ต่ำนี้ว่า ความรู้สึก
เช่น ชอบ-ไม่ชอบ สวย-ไม่สวย
พอใจ-ไม่พอใจ เข้าท่า-ไม่เข้าท่า เป็นต้น
โดยรวมเรียกอาการทั้งหลายเหล่านี้ว่า กิเลส

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเรื่อยมาจนถึงขั้นตอนนี้
มันคือการเกิด "ขันธ์ที่ 3" หมายถึง เวทนา นั่นเอง

5.เมื่อจิตหยาบของท่าน
เกิดการสั่นสะเทือนเป็น "ความรู้สึก" ต่างๆ
อันเป็นกระบวนการของ "ขันธ์ที่ 3" คือเวทนาแล้ว
จิตหยาบของท่านก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องต่อไปอีก
เพื่อจะทำให้สิ่งที่ตนรับเอานั้นมี อัตตาตัวตน ขึ้น
จะได้สามารถยึดติดยึดไว้หรือยึดเอาได้ง่ายๆ

อาการที่จิตสั่นสะเทือนเพื่อทำให้สิ่งเร้านั้น
มีอัตตาตัวตนเกิดขึ้นเพื่อการยึดติดมันได้ง่ายๆ
คือสิ่งที่พวกท่านเรียกว่า ตัณหา
อันประกอบด้วยความอยาก-ไม่อยาก
ความไม่แน่ใจว่าตนอยาก-ไม่อยาก
หรือ "ลังเล" เป็นต้น

6.เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็น "ตัณหา" แล้ว
ก็จะสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการ
ขับเคลื่อนออกมาเป็นการแสดงออกหรือกระทำ
เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตของตนทันที

ถ้าจิตพบอุปสรรคคือไม่สามารถตอบสนอง
ความรู้สึกนึกคิดต้องการของตนเองได้ง่ายๆ
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนทางด้านลบทันที
อาจถึงขั้นแสดงออกเป็นพฤติกรรมทางอารมณ์
เพื่อตอบโต้ ต่อต้าน หรือต่อสู้เสมอ
หรือเมื่อผิดหวังก็จะเกิดความเศร้าหมอง เป็นต้น

ถ้าจิตหยาบสามารถได้รับการตอบสนอง
ในสิ่งที่ตนปรารถนานั้นมาง่ายๆ
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนทางอารมณ์ด้านบวก
เป็นความสุข ความพึงพอใจ เช่นกัน

จิตหยาบของพวกท่าน
จะสั่นสะเทือนจิตสามนึกเพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรม
ทั้งถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือในด้านตรงข้าม
โดยมี อารมณ์บวกลบ กับ การนึกคิดบวกลบ
เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆต่อไป

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนต่อเนื่องจนถึงขั้นตอนนี้
มันเป็นการสั่นสะเทือนถึง "ขันธ์ที่ 4" คือ สังขาร
ต่อจากรูป สัญญา และเวทนาที่ผ่านมานั่นเอง

7.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เนื่องจากพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาล
ทรงกำหนดให้จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
มาเกิดเป็นมนุษย์ที่มี 2 มิติ

พวกท่านจะใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
แสดงออกหรือกระทำในนามของจิตวิญญาณได้
ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน

ดังนั้น
เมื่อใดที่จิตหยาบของท่าน
สั่นสะเทือนจนเกิดขันธ์ทั้งสี่
ตาม 6 ขั้นตอนที่เรากล่าวเปิดเผยให้รู้แล้วนั้น

กลไกต่อมไร้ท่อทั้งระบบในกายสังขารของท่าน
มันจะผลิตสร้างคลื่นพลังงานจิตออกมา
เป็นคลื่นไฟฟ้าเคมีถ้ายังเคลื่อนไหลอยู่ในร่างกาย
แต่ถ้าถูกขับเคลื่อนออกมาภายนอกร่างกาย
มันก็จะถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กแทน

คลื่นพลังงานไฟฟ้าที่จิตผลิตสร้างขึ้น
เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นการรับรู้รับเอานี้
มันคือสิ่งที่พระศาสดาทรงระบุไว้เป็น "ขันธ์ที่ 5"
ที่ทรงเรียกว่า #วิญญาณ นั่นเอง

ดังนั้น
จงเข้าใจเสียใหม่ว่า
วิญญาณ มิใช่ จิตวิญญาณ

ในบทต่อไป
เราจะเปิดกะลาที่คว่ำอยู่ให้ท่านรู้ต่อไปอีกว่า
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่ว่ามาทั้งหมดนี้
พระผู้สร้างทรงออกแบบไว้เพื่ออะไร
มนุษย์ทั้งหลายจะต้องทำอย่างไรกับขันธ์ 5 นี้

ใครปรารถนาจะรู้ต่อก็ยกมือขึ้น

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6/05/2021