05 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 05/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

05/05/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความคิดเข้าใจผิดของคนนำทางตาบอด
ที่นำพาคนก้าวตามตาบอดหลงทางนิพพาน
ซึ่งเราชี้แนะต่อท่านทั้งหลายให้ได้รู้มาแล้วนั้น
มีด้วยกัน 3 ประการ คือ

ประการแรก

ไม่รู้ว่าตนมี จิตหยาบ ทำหน้าที่แทน จิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองขณะเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาล
เป็นผู้ทรงออกแบบเอาไว้ให้พวกท่านเช่นนั้น
อันเป็นความจริงระดับ อนุตรธรรม ที่มนุษย์โลกไม่รู้

จึงเข้าใจว่าทุกบทบาทขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็น มโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรม
รวมทั้งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลงนรกและเกิดใหม่
ล้วนเป็นการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณของตนทั้งสิ้น

ประการที่สอง

คิดเข้าใจว่า นิพพาน คือการ ดับกองทุกข์ ให้สิ้น
ด้วยการละวางอัตตาตัวตนทั้งรูปธรรมและนามธรรม
จึงมุ่งเน้นกระทำที่ "จิตวิญญาณ" ของตนเป็นสำคัญ
จนเกิด ความเชื่อ เป็น อุปาทานหมู่ มายาวนานว่า
ถ้าดับทุกข์ได้สิ้นเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจักนิพพาน
จักบรรลุมรรคผลสูงสุดโดยไม่ต้องทำอะไรต่ออีกแล้ว

ประการที่สาม

ถ้าตนสามารถดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
ขณะใช้ชีวิตในภพภูมิมนุษย์
เมื่อตายไปในภพชาตินั้นแล้ว
จิตวิญญาณจะหลุดลอยขึ้นไปบนสวรรค์
ตามกำลังบารมีที่เป็นผลของการปฏิบัติจิต
ขณะใช้ชีวิตเป็นมนุษย์โลก

ถ้าทำให้จิตวิญญาณว่างไปจากกองทุกข์มาก
ตายแล้วก็จะหลุดลอยขึ้นไปได้สูงมากกว่า

ถ้าทำให้จิตวิญญาณว่างได้ในระดับสุญตา
ตายแล้วก็จะหลุดลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นสูงสุด
โดยคนนำทางเรียกว่าไปจุติเป็น อรหันต์
ซึ่งพวกนี้เป็นผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าถึงนิพพานแล้ว

มันจึงค้านกันกับความเชื่อของพวกเขาเองที่ว่า
จิตวิญญาณนิพพานคือการ "ดับสิ้น" หรือ "ดับสูญ"
กองทุกข์ทั้งปวงก็ดับสิ้นตัวตนจิตวิญญาณก็ดับสูญ
แปลว่าเมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะล่องหนเลย
โดยไปจับเอาดำรัสของพระศาสดาในคัมภีร์ที่ว่า

เมื่อพระศาสดาทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว
เทวดาทั้งหลายและมนุษย์จะไม่เห็นพระองค์อีก


ทั้งๆที่จิตวิญญาณเมื่อตายไปเป็นอรหันต์
มันก็ยังมีการจุติอยู่ ยังมีภพชาติอยู่ ยังมีตัวตนอยู่
ยังมีการดำรงอยู่ในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
แม้มนุษย์จะมองไม่เห็นรูปธรรมตัวตนของอรหันต์
แต่อรหันต์ด้วยกันก็ยังคงแลเห็นกันและกันอยู่ดี
เพราะเป็นรูปธรรมจิตวิญญาณของพวกเดียวกัน

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
เมื่อพระศาสดาทรงปรินิพพานหรือนิพพานแล้ว
มนุษย์จะมองไม่เห็นพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร
เพราะพระองค์ทรงปลงหรือละทิ้งกายสังขารแล้ว
คงเหลือแต่ดวงพระวิญญาณหรือจิตวิญญาณ
ที่เป็น รูปธรรมทางพลังงาน ของพระองค์เท่านั้น
ซึ่งสองตาเนื้อของมนุษย์ถูกออกแบบไว้มิให้เห็น

ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า เทวดา จะมองไม่เห็น
ทรงหมายถึงฝ่ายจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้
จะไม่มีรูปธรรมใดมองเห็นพระองค์ดำรงอยู่
ใน อนันตจักรวาล อันไพศาล หรือ "เอกภพ" นี้อีก

ที่เทวดามองไม่เห็นพระองค์มิใช่เพราะทรงล่องหน
ด้วยการอำพรางพระองค์เองเอาไว้มิให้ใครเห็น
มิได้หมายความว่าทรงมีพระองค์อยู่แต่เหมือนไม่มี

มิได้หมายถึงทรงเป็นเปลวเทียนที่ดับแล้ว
เทวดาจึงมองไม่เห็นพระองค์เพราะสิ้นแสงเทียน
ทั้งๆที่แท่งเทียนคือตัวตนของพระองค์ยังคงมีอยู่

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ความเชื่อผิดๆจากการคิดด้วยจิตมนุษย์
ใน 3 ประการที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น
ท่านจักต้องใจกว้างแล้วค่อยๆคิดตามเรา
การติด อาวุธทางปัญญา ให้ท่านจึงจะได้ผล

หากท่านไม่ยอมใจกว้างคิดตามเราแล้ว
การติดอาวุธทางปัญญาให้ท่านจักไม่เป็นผล
เพราะตัวท่านไม่ยินยอมไม่น้อมจิตคิดตาม
การยึดติดอยู่กับ ความเชื่อเดิม ที่ฝังหัวอยู่
จะทำให้จิตตปัญญามีความก้าวหน้าไม่ได้
เพราะกรอบความคิดหรือ Mind Set นี่แหละ
จะทำให้จิตวิญญาณของพวกท่านขาดอิสรภาพ
จนกลายเป็นขยะตกค้างอยู่ในอนันตจักรวาล
ที่รอวันจะถูกประดาฑูตสวรรค์ชำระทิ้งไป
ในวันชำระใหญ่ตามแผนปฏิบัติการชำระโลก
เหมือนดั่งพวกท่าน "ชำระ" ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ทิ้ง
เพราะเป็น มลภาวะ ของระบบโลกนั่นเอง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5/05/2021