07 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 07/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

07/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เหตุเพราะคนนำทางตาบอด
แปลความหมายของขันธ์ 5 ผิดพลาด
โดยมองว่าขันธ์ห้าเป็นที่มาแห่งกองทุกข์ทั้งปวง

ดังนั้น
การมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีขันธ์ 5 คือ
รูป สัญญา เวทนา สังขารและวิญญาณ
ตามที่พระศาสดาทรงกล่าวไว้นั้น
คนนำทางจึงเห็นว่าเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันเป็นกระบวนการทางจิต
รวมห้าขั้นตอนที่ทำงานร่วมกับกลไกอายตนะ
และเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เพื่อแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมในสองมิติ
คือมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
กับมิติทางกายภาพด้านของกายหยาบ
โดยกระบวนการของขันธ์ 5 ที่ว่านี้
เป็นคุณสมบัติของ คนสองมิติ หรือมนุษย์
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงออกแบบไว้นั่นเอง

ยิ่งคนนำทางตาบอดไม่เคยรู้ความจริง
ที่เป็น อนุตรธรรม อีกด้วยว่า
เมื่อจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
จิตวิญญาณพวกเขาก็มิได้ทำหน้าที่เป็นมนุษย์เอง
แต่ได้มอบอำนาจให้ จิตหยาบ ทำหน้าที่แทน
ตั้งแต่เกิดมาในภพชาตินั้นจนกระทั่งวันตาย

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่
จิตวิญญาณผู้มาเกิดก็จะแบ่งภาคตนเองออกมา
เป็น "จิตหยาบ" กลุ่มใหม่ในภพชาติใหม่นั้นอีก
เพื่อมอบอำนาจให้ทำหน้าที่เป็นมนุษย์แทนเสมอ

เพราะคนนำทางตาบอดไม่รู้อนุตรธรรมเหล่านี้
จึงพากันตีความกันเอาเองอย่างไม่เกรงฟ้าดินว่า
พวกตนจะต้องดับขันธ์ทั้ง 5 ให้หมดสิ้นให้จงได้
อันหมายถึงจิตวิญญาณของตนก็ต้องดับด้วย
เพราะเล็งเห็นว่าการมีสังสารวัฏเกิดแก่เจ็บตาย
เป็นความทุกข์แสนสาหัสที่จักต้องดับมันให้ได้
โดยจะต้องดับมันให้สิ้นดับมันให้สูญไปเลย

ซึ่งคนนำทางตาบอดไม่เคยคิดที่จะถามตนเองว่า
จิตวิญญาณของตนมาจากไหน
จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์โลกทำไม
จิตวิญญาณของตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
พวกเขาจึงมองเห็นแต่ "ความทุกข์" อย่างเดียว
โดยมองไม่เห็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรมเลย

พวกเขาจึงมอง อนันตจักรวาล ที่โลกเสรีตั้งอยู่นี้
เป็นดั่ง ลูกโป่งใบใหญ่ ขนาดโตมโหฬาร
โดยมีดาวเคราะห์โลก นรกและสวรรค์มายาอยู่ข้างใน
ถ้าพวกตนจะพ้นไปจากกองทุกข์นี้ได้
ก็ต้องหยุดการมาเกิดมาตายบนโลกนี้ให้ได้
ซึ่งพวกเขาสรุปว่าจะต้องดับที่ขันธ์ 5 ดังกล่าวแล้ว

แนวคิดของคนนำทางตาบอด
ที่คิดกันเองมิใช่พระศาสดาเสี้ยมสอนไว้ก็คือ
ถ้าดับกองทุกข์อันเกิดจากขันธ์ทั้ง 5 นี้ได้
จิตวิญญาณของตนก็พ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อจิตวิญญาณไม่มีเหลือความทุกข์อะไรแล้ว
จึงสรุปว่า "ตัวตน" ของจิตวิญญาณ
ซึ่งเคยเป็นตัวตนที่รู้ว่าตนนั้น "ทุกข์" อยู่ก็ไม่มี

พวกคนนำทางตาบอดจึงเชื่อกันเองว่า
จิตวิญญาณของตนก็ดับไปพร้อมกับกองทุกข์ด้วย
ซึ่งเป็นการดับหายไปดื้อๆเหมือนตาลยอดด้วน
พวกเขาอธิบายว่าจิตวิญญาณดับหายไป
เหมือนเทียนไขที่ดับไปโดยไม่ลุกติดไฟขึ้นมาอีก
โดยพวกเขาไม่รู้ว่าตนนั้นกำลังตะแบงอยู่แท้ๆ

เราจะยกตัวอย่างให้ท่านพิจารณาว่า
ถ้าจิตวิญญาณของท่านมีความทุกข์อยู่
โดยความทุกข์นั้นๆเป็น สภาวะ ของจิตวิญญาณ
ถ้าท่านสามารถจัดการความทุกข์นั้นๆได้สิ้น
จิตวิญญาณของท่านซึ่งเป็นผู้แบกทุกข์นั้นๆอยู่
จะดับสูญหรือจะดับหายไปพร้อมกองทุกข์ด้วยหรือ

สมมติว่าจิตวิญญาณคือตัวท่านกำลังปวดท้องหนัก
แน่นอนว่าทางโลกมันคือกำลังเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
วิธีที่ท่านจะดับทุกข์หนักนั้นได้คือการ "ปลดทุกข์"
ด้วยการพาตนเองไปเข้าส้วมแล้วปล่อยมันออกมา
เมื่อถ่ายจนหมดท้องหมดไส้แล้วท่านก็ไม่ปวดอีก
แสดงว่าตัวท่านหรือจิตวิญญาณ "่ว่าง" จากทุกข์แล้ว
เราจึงขอถามว่าตัวท่านจะต้องหายไปจากโลกนี้มั้ย
ในทันทีที่อุจจาระออกมาหมดไส้หมดพุงแล้ว

จิตวิญญาณของท่านในภพชาตินี้ก็เช่นกัน
ท่านอาจจะดับกองทุกข์ทั้งหมดได้จริงเพราะท่านเก่ง
แต่เราก็ขอยืนยันว่าเมื่อท่านตายไปในภพชาตินี้แล้ว
จิตวิญญาณท่านจะดับสูญหรือดับสิ้นหรือดับหายมิได้
ด้วยเหตุผล 2 ข้อเบ้อเริ่มเทิ่มว่า

1.เพราะจิตวิญญาณมนุษย์
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เป็น กล่องพลังงาน
ไม่มีใครสามารถทำให้มันสูญหายไปจากจักรวาลได้

2.แม้ว่าใครจะดับทุกข์ได้หมดสิ้นก็ตาม
เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณแก่นแท้ของคนๆนั้น
ก็ยังคงดำรงอยู่ในอนันตจักรวาลหรือลูกโป่งนี้
ไม่ได้สูญหายไปไหนได้

การที่คนนำทางตาบอดสรุปว่า
ถ้าดับกองทุกข์หรือขันธ์ห้าได้หมดสิ้น
ก็ดับการมีอยู่ของจิตวิญญาณของตนได้ด้วย
มันคือจิตวิญญาณ #นิพพาน แล้วนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คนนำทางประจำโลกนอกจากจะตาบอดแล้ว
จำนวนมากยังมีอาการ "หูหนวก" อีกต่างหาก
จึงไม่ได้ยินพระโอวาทจากพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาเพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้
แถมหลายคนยังเอามืออุดรูหูสองรูของตนไว้อีก

นิยามคำว่า นิพพาน ของพวกเขา
จึงเป็นการให้คำอรรถาธิบายแบบ ตาลยอดด้วน
นิพพานของพวกเขาคือจิตวิญญาณสูญหายไปเฉยๆ
หายไปในลูกโป่งหรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
เพียงแค่ดับกองทุกข์ได้สิ้นตัวตนที่ทุกข์ก็ดับด้วย

ทั้งๆที่พระศาสดาเคยตรัสว่า
ถ้าพระองค์ทรง ปรินิพพาน แล้ว
มนุษย์จะไม่เห็นพระองค์อีก
แม้แต่เทวดาก็จะไม่เห็นพระองค์ด้วย

แปลว่าพระองค์จะไม่กลับมาจุติเป็นมนุษย์อีก
เพราะพระองค์ทรงดับการมีสังสารวัฏได้แล้ว
ส่วนที่ทรงตรัสว่าเทวดาจะไม่เห็นพระองค์นั้น
หมายถึงพระองค์แม้จะทรงหายไปจากโลก
พระองค์ก็จะทรง "หาย" ไปจากโลกวิญญาณด้วย
ประดาเทวดาทั้งหลายทั่วทั้งอนันตจักรวาล
จึงจะมองไม่เห็นพระองค์เช่นเดียวกัน

การที่ไม่มีผู้ใดจะแลเห็นพระองค์ได้อีกเช่นว่านี้
ความจริงที่จริงแท้ก็คือจิตวิญญาณของพระองค์
ยังคงมีอัตตาตัวตนอยู่เช่นเดิม
เพียงแต่พระองค์เข้าถึงสภาวะนิพพานแท้
ด้วยการออกไปจาก "ลูกโป่ง" คือ อนันตจักรวาล
ที่เราเรียกว่าแดนสุญตาหรือแดนนิพพาน
อันเป็นพระนิเวศของพระเจ้า
ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณมนุษย์
ที่ขันอาสามาเกิดในระบบโลกเสรีนี้นั่นเอง

ดังนั้น
คำว่า "ปรินิพพาน" หรือ "นิพพาน"
ในความหมายของพระพุทธองค์
กับความหมายของคนนำทางตาบอด
จึงเป็นคนละเรื่องกัน

ความหมายของคำว่านิพพาน
ของคนนำทางตาบอดทั้งหลาย
จึงเป็นแค่เพียงความเชื่อมิใช่ความจริง

ท่านลองพิจารณาประโยคหนึ่ง
ที่พระศาสดาเคยตรัสเอาไว้ก็ได้ว่า

"นิพพานัง ปรมัง สุขขัง"
หมายถึง นิพพานนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง

ในเมื่อถึงนิพพานได้ก็ยังเป็นสุขอยู่
แสดงว่าจิตวิญญาณคือผู้รับรู้ในสุขนั้นยังมีอยู่
ผู้ที่นิพพานได้จึงมิใช่การตายแล้วดับสูญ

จิตวิญญาณผู้นิพพานได้นั้น
เมื่อตายแล้วที่หายไปจากอนันตจักรวาล
มิใช่การล่องหนหรือการพรางตนเอง
แต่ได้นำพาตนเอง หลุดพ้น ออกไปข้างนอก
มิได้ดำรงอยู่ข้างใน "ลูกโป่ง" ใบใหญ่นี้แล้ว
ซึ่งเป็นนิพพานแท้มิใช่เทียมเท็จ

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7/05/2021