24 พฤศจิกายน 2562

ตอบคำถาม : คนออกแบบแฟชั่น ทำให้คนหลงใหลเกิดกิเลสใช่หรือไม่ 24/11/2019

 ตอบคำถาม:

#คุณภูษิตา สุริยวงศ์‎

 

Question 1.

ในเมื่อคนออกแบบแฟชั่น

ทำให้คนหลงใหลเกิดกิเลส

 

ฉะนั้นผู้ที่ขายอาหารแบรนด์ต่างๆ

อาหารอร่อย สวยงาม

ถึงแม้จะไม่ใช่เนื้อสัตว์

จะมีประโยชน์หรือไม่ไม่ทราบ

แต่ก็จูงใจโฆษณาสารพัด

ทำให้คนซื้อโดยไม่จำเป็น

ก็เข้าข่ายนี้เช่นเดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ

 

Answer:

1. การขายเสื้อผ้าอาภรณ์กับการขายแฟชั่น

ตามที่มีผู้ถามมานั้นมันไม่เหมือนกัน

 

2. ถ้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์

ให้ผู้คนซื้อไปใช้พันกาย

กันอาย กันหนาว หรือกันร้อน

อย่างนี้ก็ไม่ผิดบาปอะไร

 

เพราะซื้อขายหนึ่งในปัจจัยสี่

ที่มนุษย์ขาดมันไม่ได้

 

3. แต่ถ้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์

ที่มีการออกแบบ (ปรุงแต่ง) โดยเน้นสวยเน้นเด่น

เน้นหรูหรา เน้นตรงสนนราคา

เน้นตรงที่ค้ากำไร หรือเน้นสร้างนิสัยฟุ่มเฟือย

 

ถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้ก็ผิดบาป

เพราะเป็นการกระตุ้นกิเลสของคนซื้อ

ซึ่งเป็นการยั่วยุคนซื้อให้ติดกับราคะจริต

นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดบาป

เพราะทำให้คนอื่นๆเสียสมดุลทางจิตใจ

 

4. ส่วนกรณีการขายอาหารเจ-มังสะวิรัติ

หรืออาหารอื่นใดก็ตามทั้งที่มีและไม่มีประโยชน์

ซึ่งมีการโฆษณาจูงใจให้คนซื้อโดยไม่จำเป็นนั้น

จะไม่ถือเป็นการผิดบาปอะไร

 

สาเหตุเพราะคนกินส่วนใหญ่

จะตัดสินใจเลือกกินสิ่งใดก็ตรงที่ว่า

เป็นอาหารที่มีประโยชน์

เป็นอาหารที่มีรสชาติถูกปาก

เป็นอาหารที่มีราคาไม่แพงเกินเงินในกระเป๋า

เป็นอาหารที่มีคนส่วนใหญ่นิยมกิน

 

ดังนั้น

การโฆษณาประชาสัมพันธ์

จึงเป็นได้แค่ "บททดสอบ" ของนักชิมนักกิน

ว่าจะตัดสินใจซื้อกินตามแรงโฆษณาหรือไม่

สมมติว่าถ้าหลงเชื่อโฆษณาแล้วซื้อหามากิน

หากกินแล้วไม่ถูกปากไม่ถูกลิ้นไม่ถูกใจ

คนๆนั้นก็สามารถจะตัดสินใจใหม่ได้เองว่า

ต่อไปข้างหน้าจะไม่ซื้อมากินอีกแล้วก็ได้

 

เนื่องจากโลกนี้เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี

มนุษย์มีสิทธิ์ตัดสินใจเองได้ว่าจะเอาไม่เอา

จะงมงายเพราะถูกหลอกถูกจูงให้หลงเชื่อ

จะงมงายเพราะถูกหลอกถูกจูงว่าอย่าเชื่อ

ก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนๆนั้น

ซึ่งมันจะเป็นไปตามความโง่ฉลาดส่วนบุคคล

 

5. มันต่างกันกับการค้าขายแฟชั่น

ที่เป็นการประพฤติออกนอกลู่

จนทำให้จิตสกปรกรกกิเลสตัณหาราคะ

สร้างความไม่รู้จักคำว่า "พอแล้ว เหมาะแล้ว"

จนกลายเป็นความฟุ้งเฟ้อไปเพราะไร้สติ

 

ส่วนการกินอาหาร

ธรรมชาติที่พระบิดาให้มาก็คือ

มนุษย์รู้จักคำว่า อิ่มแล้ว เบื่อแล้ว พอแล้ว

เพราะกินต่อไม่ไหวแล้ว

มีจิตสัญชาตญาณโดยจิตวิญญาณตนเอง

คอยดูแลกำกับไว้มิให้พุงแตก มิให้จำเจซ้ำซาก

จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

 

Question 2.

มีคำถามเพิ่มเติมเจ้าค่ะ

หากผู้ที่ก้าวล่วงพระบิดาและพระบุตรเอก

เขารู้ตัวสำนึกได้แล้วมาขอขมา

เขาจะหายจากการเป็นโรคพุพอง ไหมเจ้าคะ

พระบิดาจะพระราชทานอภัยโทษให้ไหม

ศิษย์สงสัยจริงๆเจ้าค่ะ

 

Answer:

1. การทำผิดบาปด้วยการก้าวล่วงผู้อื่นไปแล้ว

แปลว่าท่านผู้นั้นได้ก่อกรรมทำชั่วไปแล้ว

ผลกรรมในมิติทางพลังงานมันจึงเกิดขึ้นแล้ว

 

คุณสมบัติของพลังงานที่ท่านต้องรู้ก็คือ

เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันจะสูญสลาย

หรือมันจะหายไปไหนเองไม่ได้

มันจะดำรงอยู่ของมันเช่นนั้นตลอดไป

 

ดังนั้น

วจีกรรมของท่านที่กล่าวมาจากจิตใจ

ไม่ว่าจะโกหกตอแหลใครไว้

ไม่ว่าใครจะกล่าวความจริงไว้

มันล้วนเป็นสัจจะความจริงไปตามนั้นทั้งสิ้น

เพราะมันเป็นผลลัพธ์ทางพลังงาน

ในด้านจิตใจที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์

 

2. การก้าวล่วงพระบิดาและปรามาสเรา

ก็เป็น "สัจจะ" ความจริงที่บังเกิดผลแล้ว

จากการกระทำผิดบาปทางจิตใจของคนๆนั้น

 

ดังนั้น

เมื่อได้ก่อกรรมทำผิดบาปจนเกิดผลกรรมแล้ว

ใครคนนั้นจะปฏิเสธผลกรรมที่ตนก่อนั้นไม่ได้

โดยจะอ้างว่าสำนึกได้แล้วในภายหลังก็ไม่ได้

เพราะผลกรรมทางพลังงานมันเกิดขึ้นมาแล้ว

ยังไงๆก็ต้องรับผิดชอบหรือรับผลกรรม

ที่ตนเองก่อขึ้นจะให้คนอื่นมารับแทนไม่ได้

 

การจะให้พระบิดาหรือเราอโหสิกรรม

ด้วยการละเว้นโทษที่กระทำผิดบาปให้

มันจึงไม่ต่างจากการยกย้ายผลกรรมชั่วที่ตัวทำ

มาให้พระบิดาและเรารับผลกรรมของท่านแทน

ซึ่งตามกฎจักรวาลของพระบิดานั้น

มันจะทำเช่นที่ว่านี้ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้

แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระมหาเมตตาก็ตาม

 

3. ท่านคงจำสัจธรรมที่เราเคยกล่าวได้ว่า

 

#กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

#ใครทำใครได้รับกรรมแทนกันไม่ได้

 

การจะให้ "ผลกรรม" ในมิติจิตวิญญาณ

ที่ท่านใดก็ตามก่อขึ้นไว้ในทางพลังงาน

ให้มันสูญหายไปจากเจ้าของที่เป็นคนก่อไว้

มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น

คือการเปลี่ยนมือเจ้าของผลกรรมนั้น

 

โดยยกย้ายผลกรรมจากคนที่ก่อกรรมนั้นไว้

ยกมาให้คนที่ถูกท่านกระทำคือเรากับพระบิดา

รับเอามาเป็นเจ้าของแทนนั่นเอง

แล้วท่านคิดว่ามันจะเป็นจริงได้หรือ

 

4. การสำนึกบาปที่ก่อขึ้นมาแล้ว

มิได้หมายถึงสำนึกแล้วกรรมชั่วนั้นจะหายไป

 

ไม่ต่างจากตีหัวชาวบ้านแตกเลือดอาบ

เพราะลุแก่โทสะจริตจนขาดสติ

พอจิตสงบก็เพิ่งนึกได้ว่าตนไม่ควรทำ

คนที่เขาหัวแตกเจ็บตัวนั้นจะหายเจ็บทันทีมั้ย

คนหัวแตกที่เจ็บใจอยู่เขาจะจิตสงบทันทีมั้ย

การจะอ้างว่าสำนึกผิดขออโหสิกรรมแล้ว

ขอให้ทุกอย่างจบลงดื้อๆจะได้หรือ

 

พระบิดาและเรามิต่างกัน

ถ้าใครสำนึกในผิดบาปของตนเองได้

ก็ยินดีที่จะให้อภัยแก่ท่านผู้นั้นได้เสมอ

 

การพระราชทานอภัยโทษแก่ท่านจากพระองค์

และการให้อโหสิกรรมแก่ท่านจากเรา

มันมิได้หมายถึงพระองค์กับเรา

จะทรงยกโทษบาปให้ใครๆได้

ทุกๆสิ่งอย่างของสัตว์โลกและมวลมนุษย์

จักต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนก่อไว้เสมอ

 

การให้อภัยโทษแก่ท่านผู้ผิดบาป

หมายถึงพระองค์และเรา

จะไม่จองจำกรรมเวรที่ท่านผู้นั้นก่อไว้

เพราะกรรมใดใครก่อคนนั้นต้องรับเองอยู่แล้ว

เราจะไปเกี่ยวกรรมกับคนทำผิดบาปนั้นทำไม

 

ส่วนโทษกรรมที่ใครทำไว้

คนๆนั้นจักยังต้องรับผิดชอบอยู่

เพื่อทำกรรมทางพลังงานนั้นให้เป็นกลาง

จนเป็นดั่งพลังงานทั่วๆไปที่ดำรงอยู่ในจักรวาล

ซึ่งไร้คุณสมบัติกรรมคือไม่มีประจุลบ

จะได้ไม่เป็นพลังงานขยะที่รกโลกอีกต่อไป

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

24-11-2019