23 กรกฎาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/07/2023


(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
#จงอย่าโกรธเขาเลย
ถ้าใครกล่าวกับคุณทั้งลับหลังและต่อหน้าว่า
คุณนั้น “ช่างโง่จัง” คุณนั้น “ช่างโง่เง่า”
โดยคุณจะกลายเป็นคนโง่ตามที่เขาว่านั้นจริงๆ
คือ “โง่” ตั้งแต่ตอนที่คุณ “โกรธ” เขานั่นแหละ
 
เพราะนิยามของคำว่า #โง่
หมายถึงผู้ที่มีคุณสมบัติสำคัญดังต่อไปนี้ คือ
 
1.คำว่า “โง่” นี้เขาใช้กับ “คน” เท่านั้น
ไม่มีใครใช้คำว่าโง่กับสัตว์ประจำโลก
หรือใช้กับสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตกันหรอก
 
ไม่มีใครชี้ว่าควายโง่หรือเต่าโง่โดยตรง
นอกจากจะกล่าวว่า “โง่เหมือนควาย”
นอกจากจะกล่าวว่า “โง่เหมือนเต่า”
ซึ่งเป็นการกล่าวเชิงเปรียบเทียบกับคนเท่านั้น
 
ถ้าคุณเป็น “คน” กับเขาคนหนึ่งที่ยังคนไม่เสร็จ
แสดงว่า “คนโง่” นั้นอาจจะหมายถึงตัวคุณก็ได้
 
ในที่นี้คำว่า “คนไม่เสร็จ”
แปลว่าคุณหรือคนๆนั้นยังเป็น #มนุษย์ ไม่ได้
เป็นมนุษย์ไม่ได้เพราะยังหมุนธรรมจักรไม่สำเร็จ
“หมุนธรรมจักรไม่สำเร็จ” ก็เพราะหมุนไม่เป็น
ที่หมุนธรรมจักรไม่เป็นก็เป็นเพราะสาเหตุว่า
 
คนๆนั้นไม่รู้ค่าของกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
จำพวก ตา หู จมูก ลิ้นและกายสัมผัสที่ดีที่มีอยู่
ซึ่งพระเจ้าทรงติดตั้งให้ใช้เมื่อเกิดเป็นคนสองมิติ
โดยแทนที่จะเรียนรู้เพื่อการใช้งานมันให้ได้
เรียนรู้ที่จะใช้งานมันให้เป็นด้วยวิธีการ “กดปุ่ม”
มิใช่มุ่งใช้งานในระบบ “อัตโนมัติ” อยู่อย่างเดียว
ซึ่งเป็นกลไกการใช้งานที่เป็นธรรมชาติกันเท่านั้น
 
ตัวอย่างเช่น
ไม่ฝึกทักษะการมองอย่างมีประสิทธิผล
ไม่ฝึกทักษะการใช้หูรับฟังอย่างมีประสิทธิผล
ไม่ฝึกทักษะการใช้ปากพูดอย่างมีประสิทธิผล
ไม่ฝึกทักษะการใช้ภาษากายอย่างมีประสิทธิผล
เพื่อยกระดับการสื่อสารของตนกับคนอื่นๆ
เพื่อการเรียนรู้โลกในการสร้างประสบการณ์ชีวิต
 
ถ้าคุณพร่องในสิ่งที่เรากล่าวมาเหล่านี้
คุณนั่นเองที่เป็นคนโง่ตัวจริงใช่ใครอื่น
 
2.คำว่า “โง่” ในความหมายของเรา
ซึ่งเป็นประการถัดมานั้นในที่นี้เราหมายถึง
คนที่เข้าถึง #ความฉลาดทางจิต ที่ตนมีอยู่ไม่ได้
 
สาเหตุที่เข้าถึงความฉลาดทางจิตไม่ได้
เพราะจิตมีสนิมกิเลสเกาะกุมควบคุมอยู่หนามาก
เมื่อจิตสั่นสะเทือนทีไรตัวกิเลสร่วงกราวในบัดนั้น
 
คำว่า “กิเลส” นี้เราหมายถึง #ความรู้สึก
ความรู้สึกในที่นี้เรามิได้หมายถึง “การรู้สำนึก”
 
เพราะการ #รู้สำนึก คือรู้ในบาปบุญคุณโทษ
การรู้สำนึกในความผิดถูกดีชั่วที่ตัวทำกับคนอื่นๆ
และรู้สำนึกในความผิดถูกดีชั่วที่ตัวถูกคนอื่นทำ
ซึ่งการรู้สำนึกนี้เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนจะต้องมี
 
อีกทั้งการรู้สำนึกนี้เรายังหมายถึง
การรู้สำนึกรู้ว่าตนเองเป็นใครมีหน้าที่ทำอะไร
การสำนึกรู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครมีหน้าที่ทำอะไร
การสำนึกรู้ว่าตนเกี่ยวข้องกับเขาในฐานะอะไร
การสำนึกรู้ในบทบาทหน้าที่ของตนและของเขา
เพื่อมิให้บกพร่องต่อหน้าที่และก้าวล่วงต่อกันได้
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน
ที่พวกคุณทุกคนจะต้องมีกันอีกต่างหากด้วย
 
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รังเกียจการรู้สำนึกเหล่านี้
เพราะเชื่อคนนำทางตาบอดที่พร่ำสอนกันมาว่า
มันคือ “อัตตา” ที่จะพาไปสู่การ “ยึดติดอัตตา”
จนถูกหลอกให้นั่งหลับตาปลีกวิเวกคอยเพ่งมัน
เพื่อต้องการที่จะดับมันโดยไม่ทำอย่างอื่นเลย
ซึ่งพวกคุณเข้าใจผิดว่ามันคือวิธีการปฏิบัติธรรม
ทั้งๆที่แท้แล้วเป็นแค่การปฏิบัติ “ทำ” เท่านั้นเอง
คุณก็จะกลายเป็น “คนโง่” คนหนึ่งกับเขาด้วย
 
“ความโง่” ของคุณในประการที่สองนี้
เกิดจากการถูกหลอกให้เชื่อแบบผิดๆว่า
 
การรู้สำนึกของจิตเป็นสิ่งไม่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
โดยหลอกว่ามันเป็นอัตตาที่จะนำไปสู่การยึดติด
จนยังผลให้สภาวะจิตคุณนั้นไม่บริสุทธิ์แท้
แม้แต่ความรักระหว่างพ่อแม่ลูกในครอบครัวนั้น
มันจะกลายเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ถ้าทุกคนรักกันเพราะสำนึกในความเป็นพ่อแม่ลูก
ซึ่งเป็นคำสอนที่ #บิดเบือน อย่างสิ้นเชิง
 
เพราะ “การรู้สำนึก” ในแบบของพระเจ้านี้
มันจะช่วยให้ผัวเมียบ้านนี้รู้บทบาทหน้าที่ของตน
ไม่ข้ามรั้วไปทำตนเยี่ยงผัวเมียกับคนข้างบ้านได้
ซึ่งผิดทั้งกฎหมายและผิดทั้งกฎจักรวาลชัดเจน
 
“ความโง่” ของคุณในประการที่สอง
ที่เป็นเหตุผลในลำดับถัดมาก็คือ
การใช้กิเลสนำปัญญาในการดำเนินชีวิต
จากจิตที่ถูกกิเลสยึดครองจนเข้าถึงแก่นแท้ไม่ได้
โดยแก่นแท้ของจิตก็คือความฉลาดของจิต
ความฉลาดของจิตคือการฉลาดที่จะนึกด้านบวก
 
การนึกด้านบวกเราหมายถึง #การดำริชอบ
ทันทีที่จิตรับรู้การสัมผัสสิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก
โดยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
จิตสามนึก คือ นึกออก นึกเอาและนึกเอง
จะเกิดการสั่นสะเทือนทางด้านบวกขึ้นเสมอ
เพื่อก่อให้เกิดการดำริชอบเป็นพฤติกรรมเบื้องต้น
จนนำไปสู่การคิดชอบพูดชอบกระทำชอบต่อไป
 
คุณโง่เพราะถูกหลอกให้เสพติดกิเลส
จนเข้าถึงการดำริชอบตามแบบที่เรากล่าวนี้ไม่ได้
ถ้าจะกล่าวแบบโดยรวมในเรื่องการดำริชอบนี้
ก็คือการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าความรักความเมตตา
อันเป็นแก่นแกนของจิตหยาบของมนุษย์นั่นเอง
เพราะความรักความเมตตาที่เป็นธรรมชาตินั้น
มันเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบที่มีมาตั้งแต่เกิด
ทั้งคนทั้งสัตว์ล้วนมีความรักเป็นแก่นแท้ทั้งสิ้น
มิเช่นนั้นทั้งคนและสัตว์จะเป็นสัตว์สังคมไม่ได้
ถ้าไม่รักที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไม่รักที่จะอยู่ร่วมกัน
อันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มีสิ่งใดตอบแทน
 
เพราะมันเป็นรักที่เกิดจากการรู้สำนึกมิใช่การรู้สึก
ตามที่คนนำทางตาบอด “บิดเบือน” สัจธรรมไป
พระพุทธองค์จึงทรงใช้คำว่า “เมตตาธรรม”
อันหมายถึงความรักจากธรรมชาติของจิตหยาบ
ที่พวกคุณทุกคนล้วนมีอยู่ด้วยกันนั่นเอง
โดยความรักจากธรรมชาติหรือว่าเมตตาธรรมนี้
หมายถึงรักได้แม้ว่าจะไม่สวยสดงดงามอร่ามตา
อภัยได้อโหสิกรรมได้แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่ดีงาม
ทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่คุณโดยไม่ใยดี
จนสุดที่จะอภัยได้คุณก็ยอมที่จะอภัยไม่อาฆาต
ซึ่งมันคือการหมุนธรรมจักรดีๆนี่เอง
 
3.เมื่อคุณถูกกิเลสครอบงำอยู่
ความรู้สึกชอบไม่ชอบของจิตหยาบของคุณเอง
มันจะปิดกั้นการนึกบวกหรือการดำริชอบเอาไว้
จนเข้าถึงการใช้ปัญญาของสมองที่ฉลาดอยู่ไม่ได้
ตามคำกล่าวที่ว่า “โลภโกรธหลง” ทำให้คุณโง่
เพราะมันจะทำให้คุณมักง่ายโดยคิดว่าไม่คิด
แล้วแสดงพฤติกรรมต่างๆไปตามอำนาจกิเลสแทน
 
โอกาสที่จะนึกผิดคิดผิดพูดผิดทำผิดจึงมีสูงมาก
เวรกรรมจะเกิดขึ้นให้เป็นภาระของจิตวิญญาณ
มันจะเริ่มต้นกระบวนการก็ตรงจุดนี้นี่แหละคุณ
เพราะกิเลสจะทำให้คุณ #หมุนกรรมจักร แทน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะแบบที่ว่ามานี้
ยอมรับเถอะว่าคุณก็เป็นคนโง่ตามที่เขาว่าจริงๆ
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
23/07/2566