01 กรกฎาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 1/07/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
พฤติกรรมการทำหน้าที่ของดาวพลูโต
ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบบทบาทเอาไว้ให้นั้น
หน้าที่ของเขาก็คือ “เป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยน”
 
คำว่า “เศษส่วน” ของ #เมอริเดี้ยน หมายถึง
ผู้ทำหน้าที่ลดหรือเพิ่มแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้ง
ของสองระบบสุริยะซึ่งอยู่ในวงโคจรชั้นนอกสุด
ด้วยการเคลื่อนย้ายจากระบบสุริยะจักรวาลโลก
ที่เดิมทีมีดาวเคราะห์อยู่ในระบบทั้งสิ้น 9 ดวง
แล้วโคจรข้ามเส้นแบ่งสมมติระหว่างสองระบบ
ซึ่งเส้นแบ่งระบบนี้ คือ “เส้นเมอริเดี้ยน” นั่นเอง
 
เมื่อย้ายจากระบบสุริยะจักรวาลโลกออกไปแล้ว
ยังผลให้สุริยะจักรวาลนี้มีดาวเคราะห์อยู่แค่ 8 ดวง
คือดาวพุธศุกร์โลกพฤหัสเสาร์ยูเรนัสและเนปจูน
ส่วนพลูโตก็จะย้ายไปโคจรในระบบสุริยะตรงข้าม
ไปเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 ที่เดิมมีแค่ห้าเท่านั้น
 
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้จะเกิดขึ้นในทุกๆสามปี
โดยดาวพลูโตจะย้ายไปอยู่กับระบบสุริยะตรงข้าม
นานประมาณสิบสองเดือนหรือราว ๆ 365 วันทุกครั้ง
ซึ่งช่วงเวลาของปีที่พลูโตหายไปทำหน้าที่พิเศษนี้
จะเกิดทุกวันที่ 15 เดือนกรกฏาคมของปีที่หายไป
โดยที่ดาวพลูโตจะย้ายระบบสุริยะในทุก 3 ปีเสมอ
 
พวกคุณจะต้องรู้ว่า
กาแล็กซีธารสายน้ำนม (Milky Way) นั้น
ถูกสร้างขึ้นด้วยดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์จำนวนมาก
ซึ่งดวงอาทิตย์ของกาแล็กซีธารสายน้ำนมเหล่านี้
จะมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ของโลกราว 12 เท่า
โดยพระเจ้าทรงแบ่งกาแล็กซีออกเป็น 9,999² ช่อง
แต่ละช่องทรงสร้างดวงอาทิตย์ขนาดเล็กนี้ไว้ 40 ดวง
ทรงติดตั้งเอาไว้แบบซิกแซกลักษณะ “สลับฟันปลา”
แต่ละช่องถ่างจะเป็นระยะทางราว 8,010,000 ล้านไมล์
อ่านว่า ( “แปดล้านหนึ่งหมื่นล้านไมล์” )
 
เพราะพระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตไว้บนดาวบางดวง
ซึ่งอยู่ในทั้งสองระบบสุริยะจักรวาลที่ว่านี้ด้วย
จึงทรงสร้างดาวมวลแข็งที่มิใช่ดวงอาทิตย์เอาไว้
ในช่องถ่างข้างเคียงกับช่องถ่างที่มีดวงอาทิตย์อยู่
โดยทรงสร้างเอาไว้สลับกันแบบช่องเว้นช่องนี่แหละ
เพื่อให้ดาวมวลแข็งเหล่านั้นช่วยลดความร้อนแรงลง
จนความร้อนแรงนั้นไม่สร้างปัญหาในการดำรงชีวิต
ในอันที่จะทำให้ประดาสิ่งมีชีวิตดำเนินชีวิตอยู่ไม่ได้
 
ดาวมวลแข็งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น
เพื่อทำหน้าที่ลดทอนความร้อนแรงดังกล่าวนี้
จึงเป็นดาวที่มีพื้นผิวสีดำเป็นเงาและมีรูพรุน
เพราะสีดำจะดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์น้อยๆ
เก็บกักเอาไว้ในตนเองได้เป็นอย่างดีกว่าสีอื่นๆ
อีกทั้งผิวเป็นมันเงายังช่วยสะท้อนแสงได้เป็นอย่างดี
ส่วนรูพรุนนั้นก็เพื่อระบายความร้อนง่ายได้อีกด้วย
 
ดังนั้น
คุณสมบัติของดาวที่มีมวลแข็งและมีสีดำ
มีผิวเป็นเงามันและมีรูพรุนดังกล่าวมาทั้งหมด
จึงถูกสร้างขึ้นด้วยแร่ธาตุชนิดหนึ่งคือ #ลิกไนต์
อีกทั้งถ่านลิกไนต์ที่ว่านี้ยังมีน้ำหนักเบาด้วย
ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะลอยอยู่นิ่งๆในอากาศได้ดี
 
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อมนุษย์แหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
จะเห็นว่าดาวมวลแข็งทั้งหลายเหล่านี้
ส่งแสงระยิบระยับประดับฟ้าเต็มไปหมดเลย
จนพากันเข้าใจผิดคิดไปว่าพวกเขาเป็นดาวฤกษ์
ซึ่งเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตนเองแบบดวงอาทิตย์
#แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงอย่างที่คิด
เพราะแค่โลกมีดวงอาทิตย์อยู่เพียงดวงเดียว
พวกคุณก็ร้อนจนแทบ “ตับแลบ” กันแล้วมิใช่หรือ
จะให้สร้างดวงอาทิตย์ขึ้นอีกมากมายได้อย่างไร
 
พระองค์ทรงสร้างดวงอาทิตย์ขนาดเล็กเอาไว้
เพียงแค่ช่องละ 40 ดวง แบบช่องเว้นช่อง
โดยช่องข้างๆที่สลับกันนั้นทรงสร้างดาวมวลแข็งไว้
เพื่อทำให้กาแล็กซีธารสายน้ำนมนี้เป็นสีขาวนวล
เมื่อคุณแหงนมองขึ้นไปก็จะแลเห็นความสวยงาม
ถ้าจิตวิญญาณคุณสามารถหลุดพ้นกลับบ้านได้
ธารสายน้ำนมนี้ก็คือหนทางกลับบ้านแดนสุญตา
ที่จะนำพาจิตวิญญาณลูกๆกลับไปหาพระบิดาได้
โดยที่พวกคุณจะไม่มีวันหลงทางแต่อย่างใด
เพราะ “ธารสายน้ำนม” หมายถึงทางที่น้ำนมไหล
ซึ่งน้ำนมจะไหลมาจากเต้าของมารดาใช่ใครอื่น
ถ้าเดินตามธารสายน้ำนมนี้ไปจะพบพ่อแม่แน่นอน
 
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า
ทำไมทรงเรียกกาแล็กซีนี้ว่า #ธารสายน้ำนม
โดย Milky Way มิได้แปลว่า “ทางช้างเผือก”
ตามที่ศัตรูมนุษย์ทำการบิดเบือนความหมายไว้
ให้เกิดความสับสนกันมาทางดาราศาสตร์อีกเช่นกัน
 
บทบาทของดาวพลูโตนี้สำคัญนัก
มนุษย์อุตริจะคัดพลูโตออกจากระบบสุริยะยังไง
ด้วยความฉลาดน้อยด้อยปัญญาเชื่อสายตาตัวเอง
แต่ในความเป็นจริงนั้นดาวพลูโตของพระเจ้า
ก็จะยังคงทำหน้าที่ของเขาอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร
เพื่อให้กาแล็กซีที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางเอกภพ
สามารถเหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางในแนวระนาบได้
 
เอกภพซึ่งเป็นห้องทดลองของพระเจ้า
สามารถก่อร่างสร้างรูปธรรมเป็นเอกภพขึ้นมาได้
ก็เพราะมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่สมดุลตลอดเวลา
โดยความสมดุลนี้ได้จากการหมุนรอบแกนกลาง
ด้วยการหมุนอย่างต่อเนื่องในแนวระนาบ
ถ้าไม่มีดาวพลูโตเป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยนแล้ว
กาแล็กซีธารสายน้ำนมจะเหวี่ยงหมุนต่อเนื่องไม่ได้
ซึ่งจะยังผลให้เอกภพทั้งระบบ “จบข่าว” ทันที
 
การทำงานของดาวพลูโต
ไม่ต่างจากแขนของลูกตุ้มนาฬิกาแบบแขวน
โดยมันจะแกว่งไปมาจนสุดทางทั้งซ้ายขวา
ซึ่งแขนของมันจะยึดโยงอยู่กับนาฬิกาบอกเวลา
นาฬิกาจะไม่ตายคือเดินได้บอกเวลาได้เที่ยงตรง
หากตราบใดที่แขนของลูกตุ้มนั้นแกว่งได้ต่อเนื่อง
แสดงว่าแขนของลูกตุ้มนั้นสำคัญต่อนาฬิกา
ทำให้มันสมดุลคือบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรง
 
ดาวพลูโตก็เช่นเดียวกัน
เขาย้ายระบบสุริยะกลับไปกลับมาดังกล่าว
จึงไม่ต่างจากการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา
ซึ่งลูกตุ้มที่แกว่งอยู่นั้นยังมี “แขน” ยึดโยงอยู่
เมื่อลูกตุ้มมันแกว่งขึ้นๆลงๆซ้ายทีขวาที
แขนของลูกตุ้มก็เลยแกว่งไกวไปตามนั้นด้วย
พฤติกรรมของดาวพลูโตก็เฉกเช่นเดียวกันนั่นเอง
 
การช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดให้กับสองระบบ
จึงต่างจากพฤติกรรมที่มนุษย์เรียกว่า “เสือก”
เพราะการเติมเต็มคือการเสริมเพิ่มของระบบเล็ก
เพื่อช่วยให้ระบบใหญ่เกิดความสมดุลโดยแท้
คุณสังเกตการเล่น #กระดานหก ของเด็กๆดูสิ
เด็กๆจะเล่นกระดานหกคนเดียวไม่ได้แน่นอน
เพราะคนเดียวทำให้เกิดการหกขึ้นหกลงไม่ได้
หรือแม้จะเล่นสองคนที่คนหนึ่งอ้วนอีกคนผอม
กระดานหกจะกระดกเพื่อหกขึ้นหกลงไม่ได้อยู่ดี
 
กระดานหกจะทำให้เกิดการหกขึ้นหกลงได้
ก็ต่อเมื่อเด็กสองคนมีน้ำหนักตัวไม่ต่างกันมาก
อย่างน้อยก็ต้องมีน้ำหนักตัวเท่ากันพอๆกันเสมอ
เพียงแค่ทั้งสองคนผลัดกันออกแรงเพิ่มน้ำหนัก
เพื่อให้อีกข้างหนึ่งหนักกว่าอีกข้างชั่วคราวเท่านั้น
ทั้งสองคนก็เล่นกระดานหกอย่างสนุกสนานได้
 
จงอ่านพระโอวาทในบทเรียนนี้แล้ว
คิดตามให้เป็นภาพด้วยสมองซีกขวาไปด้วย
มันจะช่วยให้คุณสังเคราะห์สัจธรรมบทนี้ง่ายขึ้น
จะได้ไม่ฉลาดน้อยไปหลงเชื่อตามพวกที่บังอาจ
เพราะคุณขาดความสามารถในการใช้ปัญญา
เหมือนอดีตกาลและอดีตชาติที่ผ่านมา
จะได้เป็น “พุทธศาสนิกชน” คนมีปัญญากันเสียที
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
1/08/2566