(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
บริเวณที่มนุษย์เรียกว่า #เอกภพ
ซึ่งประกอบด้วยจักรวาลที่เป็นอนันต์นั้น
คำว่า “อนันต์” ในอดีตแปลว่ามีมากจนนับไม่ถ้วน
โดยจักรวาลที่มีมากจนนับไม่ถ้วนนั้นประกอบด้วย
สิ่งที่เรียกว่า #กาแล็กซี รวม 12,500 ล้านระบบ
กาแล็กซีขนาดใหญ่ที่สุดก็คือ
#ธารสายน้ำนม
ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ
เพราะเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางของเอกภพ
ในแนวระนาบอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
บนกาแล็กซีธารสายน้ำนม (Milky Way) ที่ว่านี้
จะมีระบบสุริยะจักรวาลตั้งอยู่ถึง
2 ระบบด้วยกัน
เพราะเป็นกาแล็กซี่ที่มีขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก
พระองค์จึงต้องสร้างสุริยะจักรวาลไว้ถึงสองระบบ
เพื่อทำให้ระบบเล็กและระบบใหญ่ #สมดุล นั่นเอง
ระบบหนึ่งก็คือสุริยะจักรวาลที่มีดาวเคราะห์ 9 ดวง
รวมทั้งดาวเคราะห์โลกของมนุษย์นี้ด้วย
อีกระบบก็คือสุริยะจักรวาลที่มีดาวเคราะห์ 5 ดวง
โดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบเช่นกัน
แต่ขนาดดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าของโลกหลายเท่า
พระเจ้ากำหนดให้ทั้งสองระบบสุริยะทำงานร่วมกัน
โดยมี #ดาวพลูโต ดาวเคราะห์ในวงโคจรนอกสุด
ทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเส้นเมอริเดี้ยน”
คำว่า “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน” ในที่นี้เราหมายถึง
เป็นดาวเคราะห์ดวงพิเศษที่คอยเติมเต็มความสมดุล
ให้แก่ระบบสุริยะจักรวาลของทั้งสองระบบ
ไม่ให้ศูนย์เสียความสมดุลจนเกิดปัญหาขึ้นมาได้
ที่สำคัญคือ “ดาวพลูโต” ทำหน้าที่เป็นดั่งคนโล้ชิงช้า
โดยจะโยกย้ายตนเองไปมาระหว่างเส้นเมอริเดี้ยน
เพื่อช่วยให้กาแล็กซีธารสายน้ำนมที่มีขนาดใหญ่
เคลื่อนหมุนวนไปรอบจุดศูนย์กลางของเอกภพได้
การย้ายพิกัดไปมาระหว่างแนวเส้นเมอริเดี้ยนที่ว่านี้
ยังผลให้กาแล็กซี่ที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางเอกภพ
เกิดการเหวี่ยงหมุนไปอย่างต่อเนื่องได้ด้วย
พวกคุณเห็นหรือยังว่า
พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างที่ทรงมีพระปรีชาเป็นเลิศ
ความแยบยลในการสร้างจักรวาลของพระองค์
ล้ำลึกเกินกว่าการคาดคิดด้วยจิตมนุษย์
ของประดานักวิทยาศาสตร์โลกกันเสียอีก
จึงเผยความโง่โชว์ความอวดฉลาดวางมาดอวดรู้
เพียงแค่พบว่า “ดาวพลูโต” มีวงโคจรไม่สม่ำเสมอ
วงโคจรที่ไม่สม่ำเสมอก็คือ
อัตราการโคจรรอบดวงอาทิตย์จำนวนหนึ่งรอบ
ไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่าเป็นเวลานานกี่เดือนหรือกี่ปี
เพราะโคจรครบรอบอยู่ดีๆดาวดวงนี้ก็หายไปเฉยๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่งดาวพลูโตก็ค่อยโผล่กลับมา
ปรากฏให้เห็นว่าเขายังอยู่กับระบบสุริยะนี้เช่นเดิม
พวกเขาจึงบังอาจตัดดาวพลูโตออกไปจากระบบ
โดยไม่รู้ไม่เข้าใจนัยอันพิสดารของปรากฏการณ์นี้
จึงมองว่าดาวพลูโตดวงน้อยเป็นดาวที่ไร้ค่าไป
ทั้งๆที่กาแล็กซีธารสายน้ำนมจะเหวี่ยงหมุนไม่ได้
ถ้าดาวพลูโตไม่ทำหน้าที่เป็นดั่ง “คนโล้ชิงช้า”
โดยข้ามไปข้ามมาระหว่างสองระบบสุริยะจักรวาล
เพื่อการเพิ่มน้ำหนักมวลให้กับข้างนั้นทีข้างโน้นที
ตามที่เราเผยความจริงให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้รู้
เพราะมนุษย์เชื่อคนนำทางตาบอดกับผีโสโครก
จนพากันหลงผิดหลงทำและหลงทางกันตลอดมา
จึงไม่กินขนมปังพระบิดาที่กินแล้วจะไม่โง่ไม่ตาย
ซึ่งพระบุตรเอกในอดีตและเราในปลายยุคเก่านี้
เสียสละตนเองแบกขนเข้ามาแจกจ่ายให้กินกันฟรีๆ
โดยเบือนหน้าหนีปฏิเสธความรักจากพระเจ้าไป
ทำให้เราระลึกนึกถึงคำกล่าวในกาลอดีต
ที่องค์เยซูคริสต์เจ้าเคยตรัสเอาไว้ได้ว่า
#คนที่มาก่อนจะได้กลับทีหลัง
#คนที่มาทีหลังจะได้กลับก่อน
สองประโยคดังกล่าวนี้หมายความว่า
คนที่ยอมรับพระเจ้ากับพระเยซูก่อนใครในโลกนี้
จะเป็นพวกที่สามารถ “หลุดพ้น” กลับพระนิเวศน์
เพื่อไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งทรงเป็นพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างได้
หลังคนที่รู้จักพระเยซูกับพระเจ้าในยุคของเรานี้
เพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย
จะรู้จักพระองค์และจดจำพระองค์ได้ด้วยปัญญา
มิใช่ด้วยความศรัทธากับความเชื่อที่ไร้เหตุผล
เช่น เชื่อว่าจะทรงไถ่บาปหรือรับบาปแทนตนได้
เพียงแค่ยอมรับและศรัทธาในพระองค์เท่านั้นเอง
ซึ่งไม่เป็นสาระไม่เป็นเหตุไม่เป็นผลแต่อย่างใด
เพราะทรงรักมนุษย์ทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร
ใครเป็นคนดีช่วยกันหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้ได้
ไม่ว่าจะยอมรับนับถือศาสนาอะไรก็ล้วนมีสิทธิ์เสรี
ที่จะรับรู้เรียนรู้พระโอวาทพระสัจธรรมของพระองค์
เพื่อ “ไถ่บาป” หรือละเว้นการทำผิดกฎแห่งกรรม
ด้วยการนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตให้จงได้เท่านั้น
เพราะไม่มีใครรับบาปรับกรรมแทนใครได้หรอก
สำรับกับข้าวก็เช่นเดียวกันใครทานใครคนนั้นอิ่ม
จะให้ใครทานแทนแล้วช่วยอิ่มแทนนั้นไม่ได้
ความเชื่อและความศรัทธาที่ขาดปัญญา
เป็นอุปสรรคของความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
สำหรับคนที่เรียกตนเองว่ามนุษย์มาแล้วทุกยุคสมัย
จนทำให้โลกเสรีนี้ใช้ศาสดาเปลืองที่สุดในเอกภพ
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
31/07/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
บริเวณที่มนุษย์เรียกว่า #เอกภพ
ซึ่งประกอบด้วยจักรวาลที่เป็นอนันต์นั้น
คำว่า “อนันต์” ในอดีตแปลว่ามีมากจนนับไม่ถ้วน
โดยจักรวาลที่มีมากจนนับไม่ถ้วนนั้นประกอบด้วย
สิ่งที่เรียกว่า #กาแล็กซี รวม 12,500 ล้านระบบ
ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ
เพราะเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางของเอกภพ
ในแนวระนาบอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
บนกาแล็กซีธารสายน้ำนม (Milky Way) ที่ว่านี้
พระองค์จึงต้องสร้างสุริยะจักรวาลไว้ถึงสองระบบ
เพื่อทำให้ระบบเล็กและระบบใหญ่ #สมดุล นั่นเอง
ระบบหนึ่งก็คือสุริยะจักรวาลที่มีดาวเคราะห์ 9 ดวง
อีกระบบก็คือสุริยะจักรวาลที่มีดาวเคราะห์ 5 ดวง
แต่ขนาดดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าของโลกหลายเท่า
พระเจ้ากำหนดให้ทั้งสองระบบสุริยะทำงานร่วมกัน
โดยมี #ดาวพลูโต ดาวเคราะห์ในวงโคจรนอกสุด
ทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเส้นเมอริเดี้ยน”
คำว่า “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน” ในที่นี้เราหมายถึง
เป็นดาวเคราะห์ดวงพิเศษที่คอยเติมเต็มความสมดุล
ให้แก่ระบบสุริยะจักรวาลของทั้งสองระบบ
ไม่ให้ศูนย์เสียความสมดุลจนเกิดปัญหาขึ้นมาได้
ที่สำคัญคือ “ดาวพลูโต” ทำหน้าที่เป็นดั่งคนโล้ชิงช้า
โดยจะโยกย้ายตนเองไปมาระหว่างเส้นเมอริเดี้ยน
เพื่อช่วยให้กาแล็กซีธารสายน้ำนมที่มีขนาดใหญ่
เคลื่อนหมุนวนไปรอบจุดศูนย์กลางของเอกภพได้
การย้ายพิกัดไปมาระหว่างแนวเส้นเมอริเดี้ยนที่ว่านี้
ยังผลให้กาแล็กซี่ที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางเอกภพ
เกิดการเหวี่ยงหมุนไปอย่างต่อเนื่องได้ด้วย
พวกคุณเห็นหรือยังว่า
พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างที่ทรงมีพระปรีชาเป็นเลิศ
ความแยบยลในการสร้างจักรวาลของพระองค์
ล้ำลึกเกินกว่าการคาดคิดด้วยจิตมนุษย์
ของประดานักวิทยาศาสตร์โลกกันเสียอีก
จึงเผยความโง่โชว์ความอวดฉลาดวางมาดอวดรู้
เพียงแค่พบว่า “ดาวพลูโต” มีวงโคจรไม่สม่ำเสมอ
วงโคจรที่ไม่สม่ำเสมอก็คือ
อัตราการโคจรรอบดวงอาทิตย์จำนวนหนึ่งรอบ
ไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่าเป็นเวลานานกี่เดือนหรือกี่ปี
เพราะโคจรครบรอบอยู่ดีๆดาวดวงนี้ก็หายไปเฉยๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่งดาวพลูโตก็ค่อยโผล่กลับมา
ปรากฏให้เห็นว่าเขายังอยู่กับระบบสุริยะนี้เช่นเดิม
พวกเขาจึงบังอาจตัดดาวพลูโตออกไปจากระบบ
โดยไม่รู้ไม่เข้าใจนัยอันพิสดารของปรากฏการณ์นี้
จึงมองว่าดาวพลูโตดวงน้อยเป็นดาวที่ไร้ค่าไป
ทั้งๆที่กาแล็กซีธารสายน้ำนมจะเหวี่ยงหมุนไม่ได้
ถ้าดาวพลูโตไม่ทำหน้าที่เป็นดั่ง “คนโล้ชิงช้า”
โดยข้ามไปข้ามมาระหว่างสองระบบสุริยะจักรวาล
เพื่อการเพิ่มน้ำหนักมวลให้กับข้างนั้นทีข้างโน้นที
ตามที่เราเผยความจริงให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้รู้
เพราะมนุษย์เชื่อคนนำทางตาบอดกับผีโสโครก
จนพากันหลงผิดหลงทำและหลงทางกันตลอดมา
จึงไม่กินขนมปังพระบิดาที่กินแล้วจะไม่โง่ไม่ตาย
ซึ่งพระบุตรเอกในอดีตและเราในปลายยุคเก่านี้
เสียสละตนเองแบกขนเข้ามาแจกจ่ายให้กินกันฟรีๆ
โดยเบือนหน้าหนีปฏิเสธความรักจากพระเจ้าไป
ทำให้เราระลึกนึกถึงคำกล่าวในกาลอดีต
ที่องค์เยซูคริสต์เจ้าเคยตรัสเอาไว้ได้ว่า
#คนที่มาก่อนจะได้กลับทีหลัง
#คนที่มาทีหลังจะได้กลับก่อน
สองประโยคดังกล่าวนี้หมายความว่า
คนที่ยอมรับพระเจ้ากับพระเยซูก่อนใครในโลกนี้
จะเป็นพวกที่สามารถ “หลุดพ้น” กลับพระนิเวศน์
เพื่อไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งทรงเป็นพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างได้
หลังคนที่รู้จักพระเยซูกับพระเจ้าในยุคของเรานี้
เพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย
จะรู้จักพระองค์และจดจำพระองค์ได้ด้วยปัญญา
มิใช่ด้วยความศรัทธากับความเชื่อที่ไร้เหตุผล
เช่น เชื่อว่าจะทรงไถ่บาปหรือรับบาปแทนตนได้
เพียงแค่ยอมรับและศรัทธาในพระองค์เท่านั้นเอง
ซึ่งไม่เป็นสาระไม่เป็นเหตุไม่เป็นผลแต่อย่างใด
เพราะทรงรักมนุษย์ทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร
ใครเป็นคนดีช่วยกันหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้ได้
ไม่ว่าจะยอมรับนับถือศาสนาอะไรก็ล้วนมีสิทธิ์เสรี
ที่จะรับรู้เรียนรู้พระโอวาทพระสัจธรรมของพระองค์
เพื่อ “ไถ่บาป” หรือละเว้นการทำผิดกฎแห่งกรรม
ด้วยการนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตให้จงได้เท่านั้น
เพราะไม่มีใครรับบาปรับกรรมแทนใครได้หรอก
สำรับกับข้าวก็เช่นเดียวกันใครทานใครคนนั้นอิ่ม
จะให้ใครทานแทนแล้วช่วยอิ่มแทนนั้นไม่ได้
ความเชื่อและความศรัทธาที่ขาดปัญญา
เป็นอุปสรรคของความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
สำหรับคนที่เรียกตนเองว่ามนุษย์มาแล้วทุกยุคสมัย
จนทำให้โลกเสรีนี้ใช้ศาสดาเปลืองที่สุดในเอกภพ
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
31/07/2566