(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระพุทธองค์ทรงถามตนเองว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นใคร
จิตวิญญาณมาจากไหน มาเกิดบนโลกกันทำไม
จิตวิญญาณมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
กว่าจะตรัสรู้ได้ก็ผ่านไปหลายร้อยภพชาติแล้ว
ถามว่าทำไมจึงต้องใช้หลายภพชาติ
คำตอบคือคำถามทั้งหมดนั้นจะใช้สมองสองซีก
ทำการคิดวิเคราะห์แบบจิตมนุษย์ตามปกติไม่ได้
จะสังเคราะห์สัจธรรมให้เป็นโลกุตรธรรมก็ไม่ได้
เพราะคำตอบของคำถามเหล่านั้นเป็นอนุตรธรรม
ซึ่งเป็นความจริงของจิตวิญญาณเบื้องหลังมิติโลก
ที่สมองสองซีกของมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงคำตอบได้
นอกจากจะเข้าถึง #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ที่เป็นความฉลาดเกินมนุษย์ทั้งโลกได้แล้วเท่านั้น
จากความพากเพียรของพระองค์ต่อเนื่องกัน
จนภพชาติสุดท้ายจึงทรงบรรลุอนุตรธรรมสูงสุดได้
เพราะทรงเข้าถึงพลังอำนาจของสมองส่วนกลาง
ที่เรียกว่า “อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ” นี่แหละ
ทรงใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งระบบนี้
สื่อสารกับองค์ความรู้สูงสุดของอนันตจักรวาล
เพื่อเข้าถึงคำตอบจากคำถามที่ทรงใคร่จะรู้นั้นได้
ด้วยกระบวนการสื่อสารทางจิตช่องทางพิเศษ
ที่เรียกว่า Vertical Telepathy เพื่อสื่อสารในแนวดิ่ง
ทันทีที่ทรงได้รับคำตอบจากคำถามตนเองดังกล่าว
จึงทรงตรัสว่า “เรารู้คำตอบแล้ว” ก็คือตรัสรู้นั่นเอง
ที่ต้องทรงปฏิบัติบำเพ็ญมานับร้อยภพชาติ
ก็เพื่อค่อยๆยกระดับความฉลาดทาง “จิตตปัญญา”
จากความฉลาดของสมองซีกซ้ายคือ “สติปัญญา”
จนเกิดทักษะความชำนาญในด้านการคิดวิเคราะห์
สู่ความฉลาดของสมองซีกขวาคือ “ปัญญาญาณ”
จนเกิดทักษะความชำนาญในการคิดสังเคราะห์
เพื่อนำเอาองค์ความรู้ที่วิเคราะห์ได้สู่การนำไปใช้
ให้เป็นประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและแบ่งปันผู้อื่น
จนเข้าถึงพระปรีชาญาณในการหยั่งรู้ล่วงรู้ได้แล้ว
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์จึงบังเกิด
ทำให้พระองค์สามารถได้รับคำตอบแค่เพียงแต่นึก
โดยไม่ต้องทรงคิดวิเคราะห์สังเคราะห์แบบเดิมอีก
เพียงแค่นึกคำถามได้คำตอบนั้นก็จะผุดขึ้นมาเอง
พระเจ้าทรงเรียกว่าเกิด #ปัญญาปาฏิหาริย์ นั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายนั้น
เดินทางข้ามมิติเข้ามาในเอกภพจาก #แดนสุญตา
“แดนสุญตา” คือบ้านเกิดของจิตวิญญาณมนุษย์
โดยจิตวิญญาณทุกรูปธรรมที่เข้ามาเกิดกันนั้น
เข้ามาเกิดเป็น #คนสองมิติ คือมิติของจิตวิญญาณ
กับมิติของฝ่ายเนื้อหนังคือมิติโลกด้านกายภาพ
เพื่อทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกบริสุทธิ์
ให้เกิดเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ
เพื่อใช้ค้ำจุนความสมดุลของโลกให้ยั่งยืนมั่นคง
โดยใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าเป็นเครื่องมือ
ให้ทำงานร่วมกับจิตหยาบเพื่อสั่นสะเทือน “ขันธ์ 5”
เป็นพฤติกรรมภายในของจิตหยาบคือ “มโนกรรม”
แล้วใช้มโนกรรมนั้นขับเคลื่อนเป็นวจีกรรมกายกรรม
เพื่อนำมันออกมาแสดงเป็นพฤติกรรมภายนอก
ให้ปรากฏเป็นเงื่อนไขของคนรอบข้างหรือผู้อื่นต่อไป
หน้าที่สำคัญของมนุษย์โดยจิตหยาบ
ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของคุณคือ
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดด้วยกลไกอายตนะทั้งห้าแล้ว
ให้ทำหน้าที่รับรู้เพื่อการเรียนรู้สิ่งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร
ด้วยสภาวะจิตที่สุขสงบอย่างเป็นปกตินิสัยเท่านั้น
#ห้ามรับรู้แล้วรับเอามาปรุงแต่งจนเกิดกิเลสเด็ดขาด
เพราะกิเลสเป็นต้นทางของตัณหากับอารมณ์ขยะ
ที่เป็นเหตุให้พลังงานจิตด้านบวกที่ผลิตได้ไม่สะอาด
ซึ่งเป็นพลังงานในแบบที่โลกไม่ต้องการหรือใช้ไม่ได้
พลังงานจิตที่มนุษย์ผลิตได้จากขันธ์ห้า
จะต้องเป็น “พลังงานสะอาด” หมายความว่า
ต้องเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นชนิดเดียวกันกับสนามแม่เหล็กโลกเท่านั้น
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติดังนี้
1.มิใช่คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นผลกรรมทางพลังงานซึ่งตนเป็นเจ้าของอยู่
2.มิใช่คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นผลกรรมทางพลังงานที่ตนอุทิศให้ใครอื่นไว้
3.ต้องเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานที่มิใช่ผลกรรม
คือไม่มีทั้งผู้ให้หรือผู้กระทำและไม่มีผู้รับผู้จับจอง
ซึ่งอยู่ในลักษณะเดียวกันกับออกซิเจนในธรรมชาติ
ที่ใครก็สามารถหายใจหรือนำเอาไปใช้ยังชีพได้ฟรี
เพราะมีแต่พระเจ้าหรือพระผู้สร้างเป็นเจ้าของ
ซึ่งทรงสร้างไว้ให้ลูกๆของพระองค์ใช้ร่วมกันได้
การทำบุญสุนทานของพวกคุณก็เช่นกัน
จักต้องปฏิบัติในแบบเดียวกันกับพระเจ้า
เมื่อคุณเป็นผู้ผลิตสร้างพลังงานด้านบวกออกมา
โดยใช้ขันธ์ห้าสั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้มิใช่กิเลส
พลังงานจิตที่ผลิตออกมานั้นมันจะไม่มีเจ้าของ
มันจึงเป็นพลังงานด้านบวกที่สะอาดบริสุทธิ์
ที่ผู้อื่นหรือโลกสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้
แต่ถ้าเป็นพลังงานกรรมด้านบวกที่คุณผลิตได้
แต่ทำบุญสุนทานทีไรยังทำด้วยกิเลสยังร้องขออยู่
ด้วยการทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างวิมานเบื้องบน
ทำบุญแล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรหรือคนนั้นคนนี้
ซึ่งมันก็คือพลังงานขยะที่รกโลกแม้ว่าจะเป็นด้านดี
เพราะผู้อื่นหรือโลกจะเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
นอกจากตัวเองต้องตายแล้วกลับมาเกิดใหม่
เพื่อกลับมาชำระขยะกรรมดีที่ก่อไว้ด้วยวิธีชดใช้มัน
เนื่องจากกรรมใดใครก่อคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ
ทั้งกรรมดีกรรมชั่วใช้หลักเดียวกันจะรับแทนกันมิได้
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
7/07/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระพุทธองค์ทรงถามตนเองว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นใคร
จิตวิญญาณมาจากไหน มาเกิดบนโลกกันทำไม
จิตวิญญาณมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
กว่าจะตรัสรู้ได้ก็ผ่านไปหลายร้อยภพชาติแล้ว
ถามว่าทำไมจึงต้องใช้หลายภพชาติ
คำตอบคือคำถามทั้งหมดนั้นจะใช้สมองสองซีก
ทำการคิดวิเคราะห์แบบจิตมนุษย์ตามปกติไม่ได้
จะสังเคราะห์สัจธรรมให้เป็นโลกุตรธรรมก็ไม่ได้
เพราะคำตอบของคำถามเหล่านั้นเป็นอนุตรธรรม
ซึ่งเป็นความจริงของจิตวิญญาณเบื้องหลังมิติโลก
ที่สมองสองซีกของมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงคำตอบได้
นอกจากจะเข้าถึง #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ที่เป็นความฉลาดเกินมนุษย์ทั้งโลกได้แล้วเท่านั้น
จากความพากเพียรของพระองค์ต่อเนื่องกัน
จนภพชาติสุดท้ายจึงทรงบรรลุอนุตรธรรมสูงสุดได้
เพราะทรงเข้าถึงพลังอำนาจของสมองส่วนกลาง
ที่เรียกว่า “อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ” นี่แหละ
ทรงใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งระบบนี้
สื่อสารกับองค์ความรู้สูงสุดของอนันตจักรวาล
เพื่อเข้าถึงคำตอบจากคำถามที่ทรงใคร่จะรู้นั้นได้
ด้วยกระบวนการสื่อสารทางจิตช่องทางพิเศษ
ที่เรียกว่า Vertical Telepathy เพื่อสื่อสารในแนวดิ่ง
จึงทรงตรัสว่า “เรารู้คำตอบแล้ว” ก็คือตรัสรู้นั่นเอง
ที่ต้องทรงปฏิบัติบำเพ็ญมานับร้อยภพชาติ
ก็เพื่อค่อยๆยกระดับความฉลาดทาง “จิตตปัญญา”
จากความฉลาดของสมองซีกซ้ายคือ “สติปัญญา”
จนเกิดทักษะความชำนาญในด้านการคิดวิเคราะห์
สู่ความฉลาดของสมองซีกขวาคือ “ปัญญาญาณ”
จนเกิดทักษะความชำนาญในการคิดสังเคราะห์
เพื่อนำเอาองค์ความรู้ที่วิเคราะห์ได้สู่การนำไปใช้
ให้เป็นประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและแบ่งปันผู้อื่น
จนเข้าถึงพระปรีชาญาณในการหยั่งรู้ล่วงรู้ได้แล้ว
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์จึงบังเกิด
ทำให้พระองค์สามารถได้รับคำตอบแค่เพียงแต่นึก
โดยไม่ต้องทรงคิดวิเคราะห์สังเคราะห์แบบเดิมอีก
เพียงแค่นึกคำถามได้คำตอบนั้นก็จะผุดขึ้นมาเอง
พระเจ้าทรงเรียกว่าเกิด #ปัญญาปาฏิหาริย์ นั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายนั้น
เดินทางข้ามมิติเข้ามาในเอกภพจาก #แดนสุญตา
“แดนสุญตา” คือบ้านเกิดของจิตวิญญาณมนุษย์
โดยจิตวิญญาณทุกรูปธรรมที่เข้ามาเกิดกันนั้น
เข้ามาเกิดเป็น #คนสองมิติ คือมิติของจิตวิญญาณ
กับมิติของฝ่ายเนื้อหนังคือมิติโลกด้านกายภาพ
เพื่อทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกบริสุทธิ์
ให้เกิดเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ
เพื่อใช้ค้ำจุนความสมดุลของโลกให้ยั่งยืนมั่นคง
โดยใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าเป็นเครื่องมือ
ให้ทำงานร่วมกับจิตหยาบเพื่อสั่นสะเทือน “ขันธ์ 5”
เป็นพฤติกรรมภายในของจิตหยาบคือ “มโนกรรม”
แล้วใช้มโนกรรมนั้นขับเคลื่อนเป็นวจีกรรมกายกรรม
เพื่อนำมันออกมาแสดงเป็นพฤติกรรมภายนอก
ให้ปรากฏเป็นเงื่อนไขของคนรอบข้างหรือผู้อื่นต่อไป
หน้าที่สำคัญของมนุษย์โดยจิตหยาบ
ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของคุณคือ
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดด้วยกลไกอายตนะทั้งห้าแล้ว
ให้ทำหน้าที่รับรู้เพื่อการเรียนรู้สิ่งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร
ด้วยสภาวะจิตที่สุขสงบอย่างเป็นปกตินิสัยเท่านั้น
#ห้ามรับรู้แล้วรับเอามาปรุงแต่งจนเกิดกิเลสเด็ดขาด
เพราะกิเลสเป็นต้นทางของตัณหากับอารมณ์ขยะ
ที่เป็นเหตุให้พลังงานจิตด้านบวกที่ผลิตได้ไม่สะอาด
ซึ่งเป็นพลังงานในแบบที่โลกไม่ต้องการหรือใช้ไม่ได้
พลังงานจิตที่มนุษย์ผลิตได้จากขันธ์ห้า
จะต้องเป็น “พลังงานสะอาด” หมายความว่า
ต้องเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นชนิดเดียวกันกับสนามแม่เหล็กโลกเท่านั้น
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติดังนี้
1.มิใช่คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นผลกรรมทางพลังงานซึ่งตนเป็นเจ้าของอยู่
2.มิใช่คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นผลกรรมทางพลังงานที่ตนอุทิศให้ใครอื่นไว้
3.ต้องเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานที่มิใช่ผลกรรม
คือไม่มีทั้งผู้ให้หรือผู้กระทำและไม่มีผู้รับผู้จับจอง
ซึ่งอยู่ในลักษณะเดียวกันกับออกซิเจนในธรรมชาติ
ที่ใครก็สามารถหายใจหรือนำเอาไปใช้ยังชีพได้ฟรี
เพราะมีแต่พระเจ้าหรือพระผู้สร้างเป็นเจ้าของ
ซึ่งทรงสร้างไว้ให้ลูกๆของพระองค์ใช้ร่วมกันได้
การทำบุญสุนทานของพวกคุณก็เช่นกัน
จักต้องปฏิบัติในแบบเดียวกันกับพระเจ้า
เมื่อคุณเป็นผู้ผลิตสร้างพลังงานด้านบวกออกมา
โดยใช้ขันธ์ห้าสั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้มิใช่กิเลส
พลังงานจิตที่ผลิตออกมานั้นมันจะไม่มีเจ้าของ
มันจึงเป็นพลังงานด้านบวกที่สะอาดบริสุทธิ์
ที่ผู้อื่นหรือโลกสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้
แต่ถ้าเป็นพลังงานกรรมด้านบวกที่คุณผลิตได้
แต่ทำบุญสุนทานทีไรยังทำด้วยกิเลสยังร้องขออยู่
ด้วยการทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างวิมานเบื้องบน
ทำบุญแล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรหรือคนนั้นคนนี้
ซึ่งมันก็คือพลังงานขยะที่รกโลกแม้ว่าจะเป็นด้านดี
เพราะผู้อื่นหรือโลกจะเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
นอกจากตัวเองต้องตายแล้วกลับมาเกิดใหม่
เพื่อกลับมาชำระขยะกรรมดีที่ก่อไว้ด้วยวิธีชดใช้มัน
เนื่องจากกรรมใดใครก่อคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ
ทั้งกรรมดีกรรมชั่วใช้หลักเดียวกันจะรับแทนกันมิได้
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
7/07/2566