(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตวิญญาณของพวกคุณแต่ละรูปธรรม
ล้วนรู้กันมาตั้งแต่ก่อนมีภพชาติแรกอยู่แล้วว่า
ถ้ารับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลก
ทุกรูปธรรมจะมีอายุขัยยืนยาวได้ตลอดยุคสมัย
นับตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียวคือ 60,000 ปีโลก
โดยที่พวกคุณแต่ละคนไม่มีหน้าที่จะต้องตาย
พวกคุณจึงไม่ต้องมีการเกิดแก่เจ็บป่วยล้มตาย
ไม่ต้องจบสิ้นอายุขัยไม่มีภพชาติและสังสารวัฏ
ซึ่งสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นก็ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น
หมายความว่า
จิตวิญญาณของพวกคุณเป็นผู้มีชีวิตอมตะ
ทำหน้าที่ของคนสองมิติเพื่อเป็นยามประจำโลก
โดยใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่คุณมีอยู่
สั่นสะเทือนร่วมกันให้เป็นหนึ่งเดียวให้จงได้
โดยใช้กระบวนการของขันธ์ห้าที่จิตหยาบมีอยู่
ขับเคลื่อน #จิตสามนึกด้านบวก เพื่อตอบสนอง
เงื่อนไขทั้งดีและร้ายที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้
ในแบบ “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ที่เป็นอัตโนมัติ
เพราะพวกคุณชาวดาวโลกทุกคน
มีจิตหยาบทำหน้าที่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ขณะมีชีวิตเป็นคนสองมิติอยู่ในระบบโลก
ซึ่งสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นมีแค่มิติเดียวเท่านั้น
คุณจึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วยจิตหยาบ
เพื่อ “ขับเคลื่อนขันธ์ห้า” ด้วยความรักบริสุทธิ์
จนเกิดเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ
อันเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนสองมิติร่วมกัน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานร่วมแบบที่โลกต้องการ
ให้โลกใช้ค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบไว้
เมื่อโลกสมดุลได้แล้วโลกก็จะช่วยค้ำจุนเอกภพ
ให้เกิดความสมดุลได้ต่อเนื่องอีกต่างหากด้วย
แต่สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นนั้น
ไม่ว่าพวกคุณจะเรียกชื่อนามพวกเขาว่าอะไร
พวกเขาต่างล้วนมีแค่ #มิติเดียว เท่านั้นเอง
โดยมีแค่จิตวิญญาณที่ขันอาสามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขารอยู่บนดาวนั้น
พวกเขาไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
จึงไม่ต่างจากสัตว์ประจำโลกโดยทั่วไปนี่แหละ
สาเหตุที่มนุษย์โลกต้องมีจิตหยาบ
จนต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “คนสองมิติ”
ก็เพราะพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ทรงกำหนดออกแบบให้จิตหยาบทำหน้าที่แทน
เพื่อป้องกันจิตวิญญาณมิให้เป็นอันตรายได้
ขณะใช้ชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ในระบบโลกกันยาวนาน
เพราะทรงรู้ดีว่าในระบบโลกนั้นมีอันตรายสูงมาก
แค่ให้จิตหยาบเป็นผู้ทำหน้าที่แทนเมื่อได้มาเกิด
จิตวิญญาณก็ยังเสียสมดุลจนต้องสร้างนรกรอไว้
เพื่อให้ทีมท่านยมบาลคือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ช่วยบำบัดรักษาจิตวิญญาณที่เกิดอาการป่วย
ด้วยโรคหลงมิติตามจิตหยาบขณะเกิดเป็นมนุษย์
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณพวกคุณจะกลับบ้านกันไม่ได้
ถ้าเป็นจิตวิญญาณที่ไม่สมดุลเหมือนแรกมาเกิด
มนุษย์โลกเป็นคนสองมิติ
เพื่อทำหน้าที่หมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับผู้อื่น
ในการใช้เมตตาธรรมคือรักบริสุทธิ์ค้ำจุนสมดุลโลก
ด้วยเงื่อนไขทั้งดีและร้ายที่คนอื่นหยิบยื่นมาให้
โดยคุณต้องอดทนอดกลั้นให้อภัยพวกเขาให้ได้
ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะเป็นคนในหรือคนนอก
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนข้างบ้านหรือเป็นใครก็ตาม
เพื่อแสดงออกหรือกระทำเป็นพฤติกรรมที่เขาพอใจ
ตอบสนองทางด้านบวกต่อพวกเขากลับไปให้ได้
จะอ้างว่าเขาทำชั่วกับคุณก่อนจึงต้องชั่วตอบไม่ได้
ที่เขาทำชั่วกับคุณก่อนเพราะเขาเมตตาคุณไว้ใจคุณ
โดยต้องการช่วยสร้างเงื่อนไขด้านลบให้แก่คุณ
เพื่อให้คุณสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกสนองตอบ
ด้วยแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงมากกว่าปกตินะ
ถ้าไม่สูงพอคุณก็จะอดทนอดกลั้นให้อภัยเขาไม่ได้
สาเหตุที่เขาต้องยื่นบททดสอบจิตสามนึกด้านบวก
ด้วยการสร้างเงื่อนไขด้านลบในลักษณะที่ว่านี้
ก็เพราะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ตามสมการ ∑βₓ นั้นมันจะมีปริมาณสูงกว่าปกติมาก
ซึ่งทั้งโลกและทุกคนทุกฝ่ายต่างจะได้ประโยชน์มาก
โดยเฉพาะตัวคนสร้างเงื่อนไขและฝ่ายผู้รับเงื่อนไข
จะนำเอาพลังงานร่วม 99% ที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้น
ไปใช้ยกระดับจิตหยาบของตนสู่มิติที่สูงขึ้นได้ด้วย
ส่วนพลังงานที่เหลืออีก 1% นั้นโลกก็จะเอาไปใช้
ในการค้ำจุนความสมดุลด้วยการหมุนรอบตัวเอง
เพราะมนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อช่วยค้ำจุนโลกและเอกภพของพระเจ้าให้มั่นคง
เพราะจิตหยาบต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณด้วย
เพื่อช่วยนำพาจิตวิญญาณของคุณเองกลับบ้าน
ในวันสิ้นยุคพลังงานเก่าเมื่อครบ 6 หมื่นปีโลกแล้ว
คุณจึงต้องขยันหมั่นหมุนธรรมจักรด้วยรักบริสุทธิ์
โดยรักคนไม่น่ารักหรือรักคนที่ทำชั่วกับตัวคุณให้ได้
ให้อภัยหรืออโหสิกรรมแก่คนที่ทำระยำกับคุณให้ได้
โดยต้องไม่ต่อสู้ไม่ตอบโต้และไม่ต่อต้านใดๆทั้งสิ้น
เนื่องจากมันเป็นทั้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ตามที่คุณขันอาสาพระเจ้ามาทำร่วมกันในระบบโลก
และเป็นทั้งการทำเพื่อจิตวิญญาณตนเองโดยตรง
ในการยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นสู่มิติที่ 6D ให้ได้
ภายในเวลาก่อนกาลสิ้นยุคคือ
6 หมื่นปีโลก
โดยไม่ชิงตายหรือจบสิ้นอายุขัยไปเสียก่อน
การตายคือการ Set Zero เพื่อเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้ง
เพราะคุณต้องใช้จิตหยาบกลุ่มใหม่แทนกลุ่มเดิม
ที่สลายไปพร้อมกายหยาบเมื่อคุณถึงแก่ความตาย
โดยจิตหยาบจะต้องเริ่มต้นยกระดับกันใหม่ในท้องแม่
จากมิติที่ศูนย์ให้สูงขึ้นสู่มิติที่ 4D จนคลอดออกมาได้
พออายุครบสามขวบก็ต้องยกระดับด้วยตัวเอง
โดยใช้ความน่ารักน่าชังเป็นเงื่อนไขให้คนรอบข้าง
มาร่วมหมุนธรรมจักรกับตนเพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
และช่วยให้ตนยกระดับจิตหยาบสู่มิติที่ 6D ให้จงได้
คุณทุกคนจักต้องรู้ความจริงว่า
สิ่งมีชิวิตเผ่าดาวอื่นๆในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
ไม่มีใครเป็น “คนสองมิติ” แบบเดียวกับพวกคุณเลย
จงอย่าหา #ทำ ที่เป็นอนุตรธรรมนี้จากดาวอื่น
เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีเพียง “มิติเดียว”
พวกเขาทั้งหลายจึงไม่มีจิตหยาบเหมือนมนุษย์
เมื่อไม่มีจิตหยาบให้ใช้พวกเขาจึงไม่มีจิตสามนึก
เมื่อไม่มีจิตสามนึกพวกเขาจึงไม่มีจิตใต้สำนึก
คอยสั่นสะเทือนตามเพื่อทำหน้าที่ในมิติแก่นแท้
แต่พวกเขาใช้จิตใต้สำนึกขับเคลื่อนการกระทำ
ทั้งในมิติพลังงานและในมิติของเนื้อหนังสังขาร
ซึ่งเป็นกระบวนการมิติเดียวมิได้ซับซ้อนอะไรเลย
ดังนั้น
การเกิดใหม่เพื่อมาแก่ชรามาเจ็บป่วยแล้วก็ตาย
เมื่อตายแล้วก็เวียนกลับมาเกิดใหม่เพื่อตายกันอีก
มันจึงเป็นสิ่งที่มิใช่เรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์นะ
เพราะการตายในลักษณะเช่นว่านี้นั้น
มันเป็นการตายของจิตวิญญาณ
เนื่องจากจิตหยาบและเนื้อหนังสังขารเสื่อมโทรม
จนไม่อาจทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณได้อีกแล้ว
การตายเพื่อเกิดใหม่และเริ่มต้นยกระดับกันใหม่
ในบทบาทของ #เพื่อนร่วมงาน กับดาวโลกเสรีนี้
จึงต้องเกิดขึ้นอยู่หลายภพชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
การเกิดแก่เจ็บตายจึงมิใช่เรื่องปกติตามที่เชื่อกัน
คุณต้องสังเกตเองด้วยว่า
เซลล์ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของพวกคุณนั้น
สามารถที่จะเจริญเติบโตได้เรื่อยๆตั้งแต่วัยทารก
สามารถที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ด้วย
เท่ากับว่าพระเจ้ามิได้กำหนดให้คุณต้องตายเลย
การที่คุณต้องแก่ชราจนอวัยวะร่างกายหมดสภาพ
ต้องมีสาเหตุมีปัจจัยแห่งการหมดสภาพแน่นอน
เพราะสัจธรรมความจริงของทุกสิ่งในโลกนี้นั้น
#จะมีการเกิดขึ้น #ดำรงอยู่และการเสื่อมสลาย
ที่ต้องเสื่อมสลายเพื่อให้มีการเกิดใหม่ทดแทนได้
มิเช่นนั้นจักรวาลจะไม่มีความสมดุลกันของทุกสิ่ง
การที่พวกคุณเชื่อกันมาว่า
“อนิจจังทุกขังอนัตตา” หรือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้น
เป็น #อนิจจังไม่เที่ยง นั้นคือการหลงผิดเข้าใจผิด
เพราะถูกศัตรูผู้ไม่หวังดี “หลอก” ให้เบี่ยงเบนอีก
โดยศัตรูของมนุษย์ #บิด จากคำว่า “เสื่อมสลาย”
#เบือน เป็นคำว่า “ดับสลาย” หมายถึงดับไปแทน
ทั้งๆที่คำว่า “ดับ” กับคำว่า “เสื่อม” ไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น
การเสื่อมของหนังแท้จนกลายสภาพเป็นหนังกำพร้า
บริเวณฝ่าเท้าทั้งสองข้างของคุณนี่ชัดเจนมาก
มันคือการที่หนังแท้เติบโตขึ้นมาแทนหนังกำพร้า
ถ้าคุณไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้ว่าปรากฏการณ์
เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมสลายมันเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อใด
เพราะมันเป็นแบบอย่างของการ “ทดแทน” กัน
โดยฝ่าเท้าคุณจะยังคงมีหนังกำพร้าอยู่เช่นนั้นตลอด
มันไม่ได้ “ดับสิ้น” จนสูญหายไปจากฝ่าเท้าคุณเลย
คำว่า “อนิจจังไม่เที่ยงแท้”
จึงหมายถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมสลายเท่านั้น
จะใช้กับ “การตายของกายสังขาร” ทั้งระบบไม่ได้
เพราะเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็จะละออกจากร่าง
ร่างกายหรือสังขารนั้นก็จะมีการเน่าสลายหายไป
จิตวิญญาณคุณเมื่อทิ้งกายสังขารแล้วก็ต้องเกิดใหม่
เพราะจะกลับมาเข้าร่างเดิมที่ตายนั้นไม่ได้อีกแล้ว
การตายของมนุษย์ที่แท้จริงจึงหมายถึงการดับขันธ์
ซึ่งจะนำเอากฎแห่งความไม่เที่ยงมาอ้างใช้ไม่ได้
เนื่องจากการตายของกายสังขารมันไม่ควรจะเกิดขึ้น
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้มนุษย์ต้องตาย
ก่อนวันสิ้นยุคคือ 60,000 ปีโลกแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เมื่อครบกำหนดแล้วค่อยนอนหลับเป็นตายสบายๆ
โดยที่พวกคุณไม่ต้องแก่ชราไม่ต้องเจ็บป่วยตาย
พวกคุณคงต้องคอยคำตอบในตอนหน้าแล้วล่ะว่า
เพราะอะไรคุณจึงต้องตายและต้องมีหลายภพชาติ
หากไม่ต้องการตายพวกคุณต้องปฏิบัติตนอย่างไร
จึงจะหลุดพ้นออกจากวังวนของการเติบตายนี้ได้
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
6/07/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตวิญญาณของพวกคุณแต่ละรูปธรรม
ล้วนรู้กันมาตั้งแต่ก่อนมีภพชาติแรกอยู่แล้วว่า
ถ้ารับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลก
ทุกรูปธรรมจะมีอายุขัยยืนยาวได้ตลอดยุคสมัย
นับตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียวคือ 60,000 ปีโลก
พวกคุณจึงไม่ต้องมีการเกิดแก่เจ็บป่วยล้มตาย
ไม่ต้องจบสิ้นอายุขัยไม่มีภพชาติและสังสารวัฏ
ซึ่งสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นก็ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น
หมายความว่า
จิตวิญญาณของพวกคุณเป็นผู้มีชีวิตอมตะ
ทำหน้าที่ของคนสองมิติเพื่อเป็นยามประจำโลก
โดยใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่คุณมีอยู่
สั่นสะเทือนร่วมกันให้เป็นหนึ่งเดียวให้จงได้
โดยใช้กระบวนการของขันธ์ห้าที่จิตหยาบมีอยู่
ขับเคลื่อน #จิตสามนึกด้านบวก เพื่อตอบสนอง
เงื่อนไขทั้งดีและร้ายที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้
ในแบบ “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ที่เป็นอัตโนมัติ
เพราะพวกคุณชาวดาวโลกทุกคน
มีจิตหยาบทำหน้าที่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ขณะมีชีวิตเป็นคนสองมิติอยู่ในระบบโลก
ซึ่งสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นมีแค่มิติเดียวเท่านั้น
คุณจึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วยจิตหยาบ
เพื่อ “ขับเคลื่อนขันธ์ห้า” ด้วยความรักบริสุทธิ์
จนเกิดเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ
อันเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนสองมิติร่วมกัน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานร่วมแบบที่โลกต้องการ
ให้โลกใช้ค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบไว้
เมื่อโลกสมดุลได้แล้วโลกก็จะช่วยค้ำจุนเอกภพ
ให้เกิดความสมดุลได้ต่อเนื่องอีกต่างหากด้วย
แต่สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นนั้น
ไม่ว่าพวกคุณจะเรียกชื่อนามพวกเขาว่าอะไร
พวกเขาต่างล้วนมีแค่ #มิติเดียว เท่านั้นเอง
โดยมีแค่จิตวิญญาณที่ขันอาสามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขารอยู่บนดาวนั้น
พวกเขาไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
จึงไม่ต่างจากสัตว์ประจำโลกโดยทั่วไปนี่แหละ
สาเหตุที่มนุษย์โลกต้องมีจิตหยาบ
จนต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “คนสองมิติ”
ก็เพราะพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ทรงกำหนดออกแบบให้จิตหยาบทำหน้าที่แทน
เพื่อป้องกันจิตวิญญาณมิให้เป็นอันตรายได้
ขณะใช้ชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ในระบบโลกกันยาวนาน
เพราะทรงรู้ดีว่าในระบบโลกนั้นมีอันตรายสูงมาก
แค่ให้จิตหยาบเป็นผู้ทำหน้าที่แทนเมื่อได้มาเกิด
จิตวิญญาณก็ยังเสียสมดุลจนต้องสร้างนรกรอไว้
เพื่อให้ทีมท่านยมบาลคือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ช่วยบำบัดรักษาจิตวิญญาณที่เกิดอาการป่วย
ด้วยโรคหลงมิติตามจิตหยาบขณะเกิดเป็นมนุษย์
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณพวกคุณจะกลับบ้านกันไม่ได้
ถ้าเป็นจิตวิญญาณที่ไม่สมดุลเหมือนแรกมาเกิด
มนุษย์โลกเป็นคนสองมิติ
เพื่อทำหน้าที่หมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับผู้อื่น
ในการใช้เมตตาธรรมคือรักบริสุทธิ์ค้ำจุนสมดุลโลก
ด้วยเงื่อนไขทั้งดีและร้ายที่คนอื่นหยิบยื่นมาให้
โดยคุณต้องอดทนอดกลั้นให้อภัยพวกเขาให้ได้
ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะเป็นคนในหรือคนนอก
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนข้างบ้านหรือเป็นใครก็ตาม
เพื่อแสดงออกหรือกระทำเป็นพฤติกรรมที่เขาพอใจ
ตอบสนองทางด้านบวกต่อพวกเขากลับไปให้ได้
จะอ้างว่าเขาทำชั่วกับคุณก่อนจึงต้องชั่วตอบไม่ได้
ที่เขาทำชั่วกับคุณก่อนเพราะเขาเมตตาคุณไว้ใจคุณ
โดยต้องการช่วยสร้างเงื่อนไขด้านลบให้แก่คุณ
เพื่อให้คุณสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกสนองตอบ
ด้วยแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงมากกว่าปกตินะ
ถ้าไม่สูงพอคุณก็จะอดทนอดกลั้นให้อภัยเขาไม่ได้
สาเหตุที่เขาต้องยื่นบททดสอบจิตสามนึกด้านบวก
ด้วยการสร้างเงื่อนไขด้านลบในลักษณะที่ว่านี้
ก็เพราะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ตามสมการ ∑βₓ นั้นมันจะมีปริมาณสูงกว่าปกติมาก
โดยเฉพาะตัวคนสร้างเงื่อนไขและฝ่ายผู้รับเงื่อนไข
จะนำเอาพลังงานร่วม 99% ที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้น
ส่วนพลังงานที่เหลืออีก 1% นั้นโลกก็จะเอาไปใช้
เพราะมนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อช่วยค้ำจุนโลกและเอกภพของพระเจ้าให้มั่นคง
เพราะจิตหยาบต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณด้วย
เพื่อช่วยนำพาจิตวิญญาณของคุณเองกลับบ้าน
ในวันสิ้นยุคพลังงานเก่าเมื่อครบ 6 หมื่นปีโลกแล้ว
โดยรักคนไม่น่ารักหรือรักคนที่ทำชั่วกับตัวคุณให้ได้
ให้อภัยหรืออโหสิกรรมแก่คนที่ทำระยำกับคุณให้ได้
โดยต้องไม่ต่อสู้ไม่ตอบโต้และไม่ต่อต้านใดๆทั้งสิ้น
เนื่องจากมันเป็นทั้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ตามที่คุณขันอาสาพระเจ้ามาทำร่วมกันในระบบโลก
และเป็นทั้งการทำเพื่อจิตวิญญาณตนเองโดยตรง
ในการยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นสู่มิติที่ 6D ให้ได้
การตายคือการ Set Zero เพื่อเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้ง
ที่สลายไปพร้อมกายหยาบเมื่อคุณถึงแก่ความตาย
โดยจิตหยาบจะต้องเริ่มต้นยกระดับกันใหม่ในท้องแม่
จากมิติที่ศูนย์ให้สูงขึ้นสู่มิติที่ 4D จนคลอดออกมาได้
โดยใช้ความน่ารักน่าชังเป็นเงื่อนไขให้คนรอบข้าง
มาร่วมหมุนธรรมจักรกับตนเพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
และช่วยให้ตนยกระดับจิตหยาบสู่มิติที่ 6D ให้จงได้
คุณทุกคนจักต้องรู้ความจริงว่า
สิ่งมีชิวิตเผ่าดาวอื่นๆในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
ไม่มีใครเป็น “คนสองมิติ” แบบเดียวกับพวกคุณเลย
จงอย่าหา #ทำ ที่เป็นอนุตรธรรมนี้จากดาวอื่น
เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีเพียง “มิติเดียว”
พวกเขาทั้งหลายจึงไม่มีจิตหยาบเหมือนมนุษย์
เมื่อไม่มีจิตหยาบให้ใช้พวกเขาจึงไม่มีจิตสามนึก
เมื่อไม่มีจิตสามนึกพวกเขาจึงไม่มีจิตใต้สำนึก
คอยสั่นสะเทือนตามเพื่อทำหน้าที่ในมิติแก่นแท้
แต่พวกเขาใช้จิตใต้สำนึกขับเคลื่อนการกระทำ
ทั้งในมิติพลังงานและในมิติของเนื้อหนังสังขาร
ซึ่งเป็นกระบวนการมิติเดียวมิได้ซับซ้อนอะไรเลย
ดังนั้น
การเกิดใหม่เพื่อมาแก่ชรามาเจ็บป่วยแล้วก็ตาย
เมื่อตายแล้วก็เวียนกลับมาเกิดใหม่เพื่อตายกันอีก
มันจึงเป็นสิ่งที่มิใช่เรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์นะ
เพราะการตายในลักษณะเช่นว่านี้นั้น
มันเป็นการตายของจิตวิญญาณ
เนื่องจากจิตหยาบและเนื้อหนังสังขารเสื่อมโทรม
จนไม่อาจทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณได้อีกแล้ว
การตายเพื่อเกิดใหม่และเริ่มต้นยกระดับกันใหม่
ในบทบาทของ #เพื่อนร่วมงาน กับดาวโลกเสรีนี้
จึงต้องเกิดขึ้นอยู่หลายภพชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
การเกิดแก่เจ็บตายจึงมิใช่เรื่องปกติตามที่เชื่อกัน
คุณต้องสังเกตเองด้วยว่า
เซลล์ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของพวกคุณนั้น
สามารถที่จะเจริญเติบโตได้เรื่อยๆตั้งแต่วัยทารก
สามารถที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ด้วย
เท่ากับว่าพระเจ้ามิได้กำหนดให้คุณต้องตายเลย
การที่คุณต้องแก่ชราจนอวัยวะร่างกายหมดสภาพ
ต้องมีสาเหตุมีปัจจัยแห่งการหมดสภาพแน่นอน
เพราะสัจธรรมความจริงของทุกสิ่งในโลกนี้นั้น
#จะมีการเกิดขึ้น #ดำรงอยู่และการเสื่อมสลาย
ที่ต้องเสื่อมสลายเพื่อให้มีการเกิดใหม่ทดแทนได้
มิเช่นนั้นจักรวาลจะไม่มีความสมดุลกันของทุกสิ่ง
การที่พวกคุณเชื่อกันมาว่า
“อนิจจังทุกขังอนัตตา” หรือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้น
เป็น #อนิจจังไม่เที่ยง นั้นคือการหลงผิดเข้าใจผิด
เพราะถูกศัตรูผู้ไม่หวังดี “หลอก” ให้เบี่ยงเบนอีก
โดยศัตรูของมนุษย์ #บิด จากคำว่า “เสื่อมสลาย”
#เบือน เป็นคำว่า “ดับสลาย” หมายถึงดับไปแทน
ทั้งๆที่คำว่า “ดับ” กับคำว่า “เสื่อม” ไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น
การเสื่อมของหนังแท้จนกลายสภาพเป็นหนังกำพร้า
บริเวณฝ่าเท้าทั้งสองข้างของคุณนี่ชัดเจนมาก
มันคือการที่หนังแท้เติบโตขึ้นมาแทนหนังกำพร้า
ถ้าคุณไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้ว่าปรากฏการณ์
เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมสลายมันเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อใด
เพราะมันเป็นแบบอย่างของการ “ทดแทน” กัน
โดยฝ่าเท้าคุณจะยังคงมีหนังกำพร้าอยู่เช่นนั้นตลอด
มันไม่ได้ “ดับสิ้น” จนสูญหายไปจากฝ่าเท้าคุณเลย
คำว่า “อนิจจังไม่เที่ยงแท้”
จึงหมายถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมสลายเท่านั้น
จะใช้กับ “การตายของกายสังขาร” ทั้งระบบไม่ได้
เพราะเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็จะละออกจากร่าง
ร่างกายหรือสังขารนั้นก็จะมีการเน่าสลายหายไป
จิตวิญญาณคุณเมื่อทิ้งกายสังขารแล้วก็ต้องเกิดใหม่
เพราะจะกลับมาเข้าร่างเดิมที่ตายนั้นไม่ได้อีกแล้ว
การตายของมนุษย์ที่แท้จริงจึงหมายถึงการดับขันธ์
ซึ่งจะนำเอากฎแห่งความไม่เที่ยงมาอ้างใช้ไม่ได้
เนื่องจากการตายของกายสังขารมันไม่ควรจะเกิดขึ้น
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้มนุษย์ต้องตาย
ก่อนวันสิ้นยุคคือ 60,000 ปีโลกแต่อย่างใดทั้งสิ้น
โดยที่พวกคุณไม่ต้องแก่ชราไม่ต้องเจ็บป่วยตาย
พวกคุณคงต้องคอยคำตอบในตอนหน้าแล้วล่ะว่า
เพราะอะไรคุณจึงต้องตายและต้องมีหลายภพชาติ
หากไม่ต้องการตายพวกคุณต้องปฏิบัติตนอย่างไร
จึงจะหลุดพ้นออกจากวังวนของการเติบตายนี้ได้
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
6/07/2566