17 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

17/04/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

หลังจากพระศาสดาที่เกิดจากโลกแต่ละพระองค์
ทรงนิพพานไปจากการมีสังสารวัฏในระบบโลกได้
จนถึงวาระหลุดพ้นไปจาก อนันตจักรวาล แล้ว
ศิษย์สาวกรูปธรรมใดจำคำสอนอะไรของพระองค์ได้
ก็พากันมาร่วมประชุมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
เพื่อทำการ บันทึก พระธรรมคำสอนของพระศาสดา
ที่ได้ตรัสเทศนาสั่งสอนไว้ในต่างกรรมต่างวาระกัน
โดยจัดทำเป็นพระคัมภีร์เพื่อสืบทอดสัจธรรม
ให้เป็นมรดกตกทอดกันมาจนบัดนี้นับพันๆปีมาแล้ว

กว่าจะถึงยุคปัจจุบันนี้ในแต่ละศาสนา
ก็ได้มีการชำระพระคัมภีร์กันมาหลายต่อหลายครั้ง
โดยผู้ที่ทำการชำระในแต่ละครั้งนั้น
ส่วนใหญ่มิได้เป็นผู้รับฟังสัจธรรมนั้นจากพระโอษฐ์
จึงได้ใช้ความคิดความเข้าใจส่วนตนเป็นหลัก
ในการชำระแก้ไขและต่อเติมเสริมแต่งอะไรๆ
ซึ่งเป็นไปแบบนี้เรื่อยมา

ถ้าท่านทั้งหลายใช้ปัญญาคิดพิจารณา
ก็จะสามารถเข้าใจได้เองว่า
ความผิดเพี้ยนของสัจธรรมในพระคัมภีร์ทุกเล่ม
มีความเป็นไปได้สูงยิ่งด้วยเหตุผลที่ว่า

1.ผู้ชำระพระคัมภีร์แต่ละครั้ง
มิใช่พระศาสดาผู้ทรงกล่าวสัจธรรมเหล่านั้น

2.ผู้ชำระพระคัมภีร์แต่ละครั้ง
ตนก็ไม่เคยได้สดับรับฟังสัจธรรมจากพระโอษฐ์
ถ้าไม่ฟังจากปากคนนำทางก็ได้รู้มาจากการอ่าน
โอกาสที่คนนำทางจะกล่าวสืบต่อกันมาแบบผิดๆ
หรือได้อ่านจากข้อความที่บันทึกกันมาแบบผิดๆ
จึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง

3.ผู้ชำระพระคัมภีร์แต่ละครั้ง
จะใช้ความสามารถทางปัญญาของตนเอง
จะใช้ความเชื่อของตนเอง
จะใช้ความเข้าใจในแนวทางของตนเอง
เป็นตัวตัดสินความถูกต้องของสัจธรรมนั้นๆ
ซึ่งเป็นความคิด ความเชื่อและความรู้ส่วนตัว
ที่ไม่อาจยืนยันได้ว่าในการชำระกันแต่ละครั้งนั้น
มีความถูกต้องตรงจริงร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่
มีสาระธรรมบทไหนที่บิดเบือนเบี่ยงเบนไปบ้าง
อนุชนรุ่นหลังทั้งหลายก็ยิ่งมิอาจรู้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นอกจากความจริง 3 ประการ
ในการชำระพระคัมภีร์ของพระศาสดาแล้ว
คนนำทางผู้ถือพระคัมภีร์ให้สาวกก้าวตาม
ยังปลูกฝังความเชื่อที่ไม่ถูกต้องให้สาวกด้วยว่า
ห้ามโต้แย้งห้ามคิดต่างไปจากสาระธรรมในคัมภีร์
โดยให้เหตุผลว่าทุกคนต้องเชื่อตามคำสอนเท่านั้น
เพราะจะเป็นการผิดบาปต่อพระศาสดาจงอย่าริทำ

ดังนั้น
นับพันปีที่ผ่านมาจนสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของผู้คนบนโลก
จัดได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด
โลกยุคนี้ยังมีผู้หลงทางนิพพาน
เพราะหลงผิดเชื่อผิดเข้าใจผิดกันอยู่มาก
แม้จะตั้งใจปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังก็ตาม

ถ้าไม่นึกเอง คิดเอง เออเอง
ก็เดาเอา เหมาเอา แล้วเชื่อเอง
อย่างใดอย่างหนึ่ง

นี่จึงเป็นที่มาของพระคัมภีร์ในแต่ละศาสนา
ขาดความถูกต้องตรงจริงนั่นเอง
เพราะคนนำทางใช้อำนาจแทนพระศาสดา
แต่พวกเขาขาดปัญญาวุฒิที่ทัดเทียม

ตัวอย่างความบิดเบือนเล็กๆน้อยๆ
จากความขาดปัญญาวุฒิของ คนนำทางตาบอด
อันมีสืบเนื่องมาแต่อดีตตราบจนทุกวันนี้
แต่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงมีดังนี้

1.พระศาสดาของข้าฯใครอย่าแตะ
เพราะสอนกันมาอย่างนี้
จึงทำให้เกิดการแตกแยกในสังคมมนุษย์

2.พระศาสดาของข้าฯเหนือกว่าพระองค์อื่น
เพราะสอนให้เชื่อกันมาอย่างนี้
จึงยังผลให้คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเรียนรู้
สัจธรรมคำสอนของศาสดาในศาสนาอื่นๆ

3.พระศาสดาของข้าฯยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
จึงพากันหมิ่นหยามศาสดาพระองค์อื่นๆ
และปฏิเสธสัจธรรมคำสอนของศาสนาอื่นๆ
ที่เป็นใบไม้นอกกำมือของศาสดาที่ตนนับถือ
อย่างงมงายและไร้สติ

4.การสอนให้เชื่อว่า
สัจธรรมสูงสุดของศาสดาที่ทรงตรัสรู้ไว้
ก็คือ อริยสัจสี่ กับ มรรคมีองค์แปด
ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างมาก

5.การสอนให้เชื่อว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด
จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ลำบาก
ต้องหาทางดับทุกข์ให้ได้
ด้วยการหยุดการมีสังสารวัฏ
โดยตายแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
จะได้พ้นทุกข์ที่ตนเองไม่ต้องการ
หากทำได้ก็เชื่อว่าตนนั้น นิพพานแล้ว
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดอีกเช่นกัน

6.การสอนให้เชื่อว่า
พวกตนเป็นเจ้าสาวที่กำลังรอเจ้าบ่าว
ผู้ที่จะเสด็จกลับมาจูงมือพวกตนเข้าสู่ประตูหอ
การเฝ้ารอคอยพระองค์กลับมาจึงมีนัยเกิดขึ้นว่า

เจ้าบ่าวพระองค์ที่ตนรอนั้นเป็นใคร
จะทรงเสด็จมาแบบไหน เมื่อไหร่
เมื่อเสด็จมาแล้วจะมีหมายสำคัญอะไรให้สังเกต

คำว่ากลับมาจูงเจ้าสาวเข้าประตูเรือนหอนั้น
เจ้าสาวที่จะทรงเลือกต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
การ "จูง" ที่ว่านั้นทรงหมายความว่าอย่างไร
แล้วประตูเรือนหอที่ทรงกล่าวไว้มันอยู่ที่ไหน

ประเด็นสำคัญทั้งหลายเหล่านี้
กลับไม่มีใครยอมคิดกัน
สิ่งที่ยึดมั่นจึงมีแต่การรอคอยตลอดมา

7.การสอนให้เชื่อว่า
พระองค์ผู้ที่จะทรงกลับมา
สามารถจะช่วยไถ่ความผิดบาปให้ตนได้
โดยแปลความว่าการไถ่บาปหมายถึง
พระองค์จะทรงรับบาปทั้งหมดที่ตนก่อไว้แทน
จะช่วยให้ตนเป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากบาปได้
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดอีกเช่นกัน

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ผู้มีสติทางวิญญาณและว่างจากการมีอัตตา
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นของจิตวิญญาณทุกคน
เมื่อเปิดใจรับทราบความจริงจากบทเรียนนี้แล้ว
ท่านจะพบแสงสว่างที่เราส่องทางให้เห็นชัดว่า
หนทางเดิมที่ท่านก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่
มันมีแต่จะพาท่านทั้งหลายก้าวสู่ความมืดมิด
เพราะมันเป็นทางตันมิใช่ทางหลุดพ้นที่แท้จริง

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/04/2021

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในทุกภพชาติ
จิตวิญญาณก็จะแบ่งภาคทางพลังงานของตน
ออกมาเป็นกลุ่มพลังงานเพื่อแบ่งกันทำหน้าที่
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ให้เกิด "การสั่นสะเทือน" ในสองมิติด้วยกัน คือ
สั่นสะเทือนทั้งมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
กับมิติทางกายภาพในด้านของกายสังขาร

เพื่อทำหน้าที่แทน จิตวิญญาณ ของท่าน
ในขณะยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นอยู่
โดยเรียกกลุ่มพลังงานเหล่านี้ว่า จิตหยาบ
ซึ่งจิตหยาบของมนุษย์ก็ไม่ต่างจากกลุ่มพลังงาน
ที่พระบิดาทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ให้กับต้นไม้
เพื่อช่วยให้ต้นไม้น้อยใหญ่ทุกต้นเป็นสิ่งมีชีวิต

ดังนั้น
พวกท่านจึงต้องรู้ความลับนี้เอาไว้ด้วยว่า
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดนั้น
ท่านสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ทั้งสองมิติ
ก็ด้วย "จิตหยาบ" ของท่านเท่านั้นเอง
ตัวตนที่แท้จริงของท่านคือจิตวิญญาณนั้น
จะไม่สามารถออกมาแสดงบทบาทอะไรได้
เพราะได้มอบอำนาจให้จิตหยาบทำแทนแล้ว

เพียงแต่ว่าถ้าจิตหยาบทำผิดบาปอย่างไร
จิตวิญญาณผู้มอบอำนาจให้จิตหยาบทำแทน
จักต้องเป็นผู้รับผลกรรมใดๆที่เกิดขึ้นนั้น
เหมือนดั่งว่าตนเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง
โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น

หน้าที่สำคัญของจิตหยาบของท่านก็คือ
จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนของตนเอง
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้า
จนเกิดผัสสะเข้าไปกระทบจิตที่อยู่ภายในแล้ว
จักต้องเรียนรู้ที่จะยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกจนสูงที่สุดให้จงได้

เพราะจิตหยาบปกตินั้น
มันจะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่หยาบๆก่อน
จำพวกรัก โลภ โกรธ หลง งมงาย วิตกจริต
หดหู่ ห่อเหี่ยว เศร้าหมอง อิจฉา ริษยา อาฆาต
เมื่อถูกยั่วยุเย้ายวนไปในทำนองนี้เสมอ

หน้าที่ของจิตหยาบคือตัวท่าน
จึงต้องเรียนรู้ที่จะยกระดับการสั่นสะเทือน
ให้ข้ามผ่านย่านคลื่นความถี่ต่ำ
ที่เป็นอารมณ์รู้สึกด้านลบเหล่านี้ให้จงได้
ตามที่เราเคยชี้แนะเอาไว้ให้ท่านปฏิบัติว่า

ต้องรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ต้องอภัยให้แก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยให้ได้
ต้องอดทน อดกลั้นกับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
ของคนรอบข้างของท่านให้จงได้
โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นอีกด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เหตุที่จิตหยาบในชีวิตประจำวันของท่าน
ต้องทำตนเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่า
มันเป็นเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น
ที่ท่านทั้งหลายจะยกระดับจิตหยาบของท่าน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในได้
นั่นคือการยกระดับแรงสั่นสะเทือนนั่นเอง

พระบิดาทรงออกแบบให้จิตวิญญาณพวกท่าน
ต้องมีสังสารวัฏด้วยการเวียนตายเวียนเกิด
ก็เพื่อเปิดโอกาสให้พวกท่านได้เรียนรู้ได้แก้ไข
โดยกำหนดเวลาไว้ให้ 6 หมื่นปีโลกเลยทีเดียว
เพื่อให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณให้ได้
จะได้ร่วมกันทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ตามที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้

ถ้าท่านสามารถทำสำเร็จก็จะไม่มีอายุขัย
จะไม่มีการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏต่อไป
เพราะจะไม่มีเหตุแห่งการตายและเกิดใหม่อีก
ความมีชีวิตที่เป็นอมตะก็จะเป็นของท่าน
เพราะพวกท่านใช้พลังอำนาจของจิตวิญญาณ
แทนพลังอำนาจหยาบๆของจิตหยาบได้แล้ว

แต่เนื่องจากในแต่ละภพชาติในอดีต
จิตหยาบของพวกท่าน "สอบตก" ยกระดับไม่ขึ้น
โดยมีจิตสามนึกตกต่ำดิ่งลงเรื่อยๆตลอดมา
เพราะจิตหยาบตกเป็นทาสกิเลสตัณหาราคะ
และจิตหยาบชอบทำอะไรตามใจตนเองเสมอ
โดยไม่รู้ว่าตนต้องทำเพื่อจิตวิญญาณต่างหาก
เพราะไม่รู้ว่าตนยังมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน

เมื่อผ่านการเกิดตายมาหลายภพชาติแล้ว
จิตหยาบจึงสร้างคุณสมบัติที่ไม่ถูกต้องเอาไว้
ยังผลให้จิตวิญญาณต้องแบกขยะนั้น
ติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติต่อๆมาด้วย

ถ้าพวกท่านกำจัดขยะของจิตวิญญาณไม่ได้
แล้วสร้างขยะด้านลบในภพชาติใหม่เพิ่มอีก
พวกท่านก็จะเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
เพราะจิตหยาบจะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณไม่ได้
ก็ต้องมีการตายแล้วเกิดใหม่วนๆไปแบบนี้อีก

ด้วยเหตุนี้เอง
การปฏิบัติธรรมของท่านในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะยึดแนวทางของศาสนาใดก็ตาม
ท่านจักต้องหาหนทางยกระดับสภาวะจิต
ให้มันสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกให้ได้
โดยการดับการเกิดดับของกิเลสตัณหาราคะ
จำพวกรักเพื่อเอา โลภ โกรธ หลง งมงาย ให้สิ้น
เพราะมันคือตัวถ่วงรั้งการสั่นสะเทือนด้านบวก
จนทำให้พวกท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณไม่ได้

ถ้าท่านดับการเกิดดับของขยะเหล่านี้ได้สิ้น
ท่านจึงจะเรียกว่าได้ นิพพาน ขยะของจิตแล้ว
และผู้ที่นิพพานขยะของจิตขณะที่ท่านยังไม่ตาย
ก็คือ "จิตหยาบ" ของท่านเองนั่นแหละ

เมื่อจิตหยาบนิพพานกิเลสตัณหาราคะได้สิ้นแล้ว
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณ
เพื่อทำหน้าที่ในบทบาท "คนสองมิติ" กันต่อไป
ในบั้นปลายจิตหยาบของท่านก็มีหน้าที่สุดท้ายคือ
นำส่งจิตวิญญาณคือตัวท่านเองแท้ๆกลับบ้าน

คำว่า "กลับบ้าน" ในที่นี้หมายถึง
จิตวิญญาณท่านสามารถดีดตัวเองหนีแรงดึงดูด
ทั้งของโลกและอนันตจักรวาลออกไปนอกระบบ
ผ่านประตูมิติที่เคยข้ามผ่านเข้ามาคือ ด่านนภาลัย
ออกไปจาก "กะลา" ใบใหญ่ที่ครอบพวกท่านไว้
กลับคืนสู่บ้านเกิดของจิตวิญญาณที่ท่านจากมา

นี่คือภารกิจสุดท้ายของจิตวิญญาณ
ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา 6
ซึ่งพวกท่านได้ให้สัจจะต่อพระบิดาเอาไว้
ก่อนจะเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกแล้ว

ความเชื่อที่ว่า.....
การดับทุกข์ได้คือการไม่มีอัตตาแล้ว
เมื่อไม่มีอัตตาแล้วแสดงว่าตัวท่าน "สูญ" แล้ว
จึงเชื่อต่อไปว่าจิตวิญญาณของท่านนิพพานแล้ว
ทั้งๆที่จิตวิญญาณของท่านนั้น
ยังมิได้อะไรกับอะไร
ตามที่จิตหยาบปฏิบัติธรรมกันอยู่เลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/04/2021