13 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 13/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

13/04/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ตั้งแต่จิตวิญญาณของท่านขันอาสาพระบิดา
เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีตั้งแต่ภพชาติแรก
แผนการทดลองที่พระองค์ทรงวางเอาไว้ก็คือ

รูปธรรม จิตวิญญาณ ตัวตนแก่นแท้ของท่าน
จะต้องแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น จิตหยาบ
ซึ่งเป็นกลุ่มพลังงานจำนวนทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
แต่ละกลุ่มจะมีหน้าที่ช่วยกันสั่นสะเทือนตนเอง
ทั้งในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
กับมิติทางกายภาพด้านของกายสังขาร
เพื่อการดำเนินชีวิตในบทบาทของคนสองมิติ
ในการทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณตลอดอายุขัย

โดย "จิตหยาบ"
มีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ 3 ประการ คือ

1.หน้าที่แรกก็คือ
ต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์
หมายถึงจิตหยาบต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกจนสูงสุดให้จงได้

เมื่อต้องเผชิญกับบททดสอบอันหลากหลาย
ทั้งบทที่ดีๆและบทที่ร้ายๆ
ซึ่งจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเอง
ออกแบบเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาเกิดภพชาติแรก
เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขกระตุ้นจิตหยาบของตน
ให้สั่นสะเทือนทางด้านบวกจนถึงระดับสูงสุดให้ได้
นั่นคือความรักเพื่อให้แบบต่างๆ
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย
หรือมีเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา เป็นต้น

ที่จิตหยาบต้องทำเช่นนี้ให้ได้ก็เพราะว่า
ถ้าจิตหยาบจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้
จิตหยาบต้องสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่เดียวกัน
กับคลื่นความถี่ของจิตวิญญาณที่เป็นด้านบวกเท่านั้น

2.หน้าที่ประการที่สองก็คือ
จิตหยาบจะต้องสั่นสะเทือนสมองทั้งสองซีก
เพื่อใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองให้ได้
ในการเรียนรู้บทเรียนโลกและบททดสอบต่างๆ
ตามที่จิตวิญญาณของท่านเป็นผู้ออกแบบไว้เอง
ซึ่งพวกท่านเรียกกันว่า #ชะตาชีวิต นั่นแหละ

หากท่านจะเข้าถึงความฉลาดทางปัญญา
ท่านก็จะต้องฉลาดนึก ฉลาดคิด ฉลาดมองโลก
โดยต้องใช้จิตสามนึกทางด้านบวก
ขับเคลื่อนทั้งความคิดและการกระทำของท่านให้ได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ถ้าท่านทำทั้งสองประการที่กล่าวมาข้างต้นได้
แสดงว่าท่านได้ยกระดับจิตหยาบของท่าน
เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้แล้ว
เมื่อเข้าถึงได้แล้วแสดงว่าท่านก็เป็น มนุษย์ ได้แล้ว

3.กรณีที่ท่านเข้าถึงทั้งสองประการนั้นไม่ได้
ท่านทั้งหลายจึงมีหน้าที่ต้องทำประการที่สามคือ
ท่านต้องยกระดับจิตตปัญญาของท่านให้สูงขึ้น
จนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของท่านเองต่อไป
แต่จิตวิญญาณท่านต้องตายไปจากภพชาตินั้นก่อน
เพื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่ด้วยจิตหยาบใหม่
ให้ทำหน้าที่ตามข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้ลุล่วงให้ได้

แต่หลังจากผ่านภพชาติแรกมาแล้ว
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายเอง
ต้องแบกเอาคุณสมบัติด้านลบของจิตหยาบ
ที่ก่อบาปเอาไว้ให้ตนจากภพชาติที่แล้วมาด้วย
เพื่อเอามาชำระล้างออกไปหรือแก้ไขให้สมดุล
รวมทั้งการรับเอาคุณสมบัติด้านลบของจิตหยาบ
ที่เป็นจริตสันดานใหม่ในภพชาติใหม่นี้ด้วย
จึงยังผลให้ "จิตหยาบ" ยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของตนเองได้แสนยากยิ่งเข้าไปอีก

นี่แหละ...
จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ยังผลให้
จิตหยาบเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณไม่ได้
แม้จะเวียนว่ายตายเกิดกันมาแล้ว
คนละนับภพชาติไม่ถ้วนก็ตาม


คุณสมบัติด้านลบของจิตหยาบ
ที่สั่งสมมาจากอดีตชาติ
รวมทั้งที่สร้างจริตสันดานด้านลบขึ้นมาใหม่
จากการสอบตกบททดสอบใน ชะตาชีวิต
ที่ได้เผชิญกันมาในภพชาติปัจจุบันนี้ด้วยก็คือ
โลภะ โทสะ โมหะและอารมณ์ขยะนั่นแหละท่าน

ในภพชาติแรกที่พวกท่านมาเกิดเป็นมนุษย์
หน้าที่ต้องทำก็เพียงแค่ 2 ประการ คือ
ยกระดับสภาวะจิตให้สูงขึ้นทางด้านบวก
เมื่อพบเผชิญกับเงื่อนไขบททดสอบจากคนใกล้ตัว
ตามที่จิตวิญญาณออกแบบกันมาเองก็คือ

ถ้าเขาทำดีต่อท่าน ท่านก็ต้องรักเขาตอบ
ถ้าเขาทำชั่วต่อท่าน ท่านก็ต้องรักเขาตอบให้ได้

กับต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาและตัดสินใจให้ดี
ก่อนจะพูดก่อนจะทำอะไรตอบสนองเขาไป
เพื่อไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบกับทุกๆคนโดยเด็ดขาด

แต่ปรากฏว่าพวกท่าน "สอบตก"
จิตหยาบของท่านจึงติดสันดานด้านลบ
เพราะสอบตกบททดสอบดังกล่าวมานั้นจากอดีต

ในภพชาติปัจจุบัน
นอกจากจะต้องมีปณิธานแห่งนิพพาน
คือรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักต่อท่านให้ได้
อภัยคนที่ไม่สมควรจะให้อภัยให้เป็นแล้ว

ท่านทั้งหลายยังต้องชำระจิตหยาบของท่าน
ให้สะอาดปราศจากกิเลสตัณหาราคะทั้งปวง
ที่มันเป็นเหตุแห่งความทุกข์หรือความไม่สงบ
ให้มันดับหายหรือสูญหายไปจากจิตให้หมดสิ้น
เพื่อจะได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
ในการมอบความรักให้โลกและทุกสิ่งได้เสียที

ดังนั้น
ที่พวกท่านเชื่อตามคนนำทางตาบอดกันมา
ที่เขาบอกท่านว่าจะต้องหาทาง "ดับทุกข์" ให้สิ้น
หากดับทุกข์ได้สิ้นแล้วอัตตาตัวตนของท่านก็ไม่มี
ที่ยังมีความทุกข์อยู่แสดงว่าอัตตาของท่านยังอยู่
เมื่อว่างไปจากทุกข์แล้วก็จักว่างไปจากการมีอัตตา
แสดงว่าจิตวิญญาณของท่านเข้าถึงนิพพานแล้ว
เพราะสูญสลายล่องหนหายตัวไปแล้วนั้น
เราขอยืนยันว่ามันเป็นความคิดเข้าใจผิดอย่างมหันต์

เพราะสิ่งที่พวกท่านดับมันได้ที่เรียกว่าทุกข์นั้น
มันคือคุณสมบัติด้านลบของจิตหยาบต่างหาก
ถ้าสมมติว่าพวกท่านดับมันได้จริงโดยไม่เกิดๆดับๆ
แสดงว่าจิตหยาบของท่านนั้น "นิพพานกิเลส"
อันเป็นเหตุที่มาแห่งตัณหาอารมณ์ขยะราคะจริต
ได้อย่างสิ้นเชิงสิ้นเชื้อหรือสิ้นทรากแล้วต่างหาก
ตัวตนของจิตหยาบกับจิตวิญญาณยังอยู่
ทั้งสองมิติแห่งจิตของท่านมันยังมิได้ว้าปสาปสูญ

ที่จิตวิญญาณพวกท่านมิได้กลับมาเกิดบนโลกอีก
มิใช่พวกท่านนิพพานไปจากโลกและอนันตจักรวาล
แต่พวกท่าน "หลุดลอย" ไปแขวนค้างอยู่
ในที่ว่างๆของอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้ต่างหาก
เพียงแค่หายไปจากระบบโลกชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อต้องตายทิ้งกายสังขารไป
จิตหยาบก็จะสลายตัวไปกับกายสังขารที่เน่าเปื่อย
ขณะที่จิตวิญญาณของท่านซึ่งไม่รู้อะไรด้วยเลย
กับพฤติกรรมความงมงายของจิตหยาบของตนเอง
ในการหลงธรรมหลงทางตามคนนำทางตาบอด
ยังต้องไปลงนรกเพื่อชำระบาปที่จิตหยาบก่อให้
เมื่อสะอาดแล้วก็ต้องย้อนกลับมามีสังสารวัฏใหม่

ส่วนอีกพวกหนึ่งที่เลือกทางนักบวช
มักใส่รหัสความเชื่อว่าสวรรค์มายาคือทางนิพพาน
เมื่อตายแล้วจึงพากันหลุดลอยขึ้นไปอยู่ที่บนนั้น
โดยแบ่งชุมชนออกเป็นสวรรค์หลายชนชั้น
ดังที่ท่านทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้ว

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
จิตหยาบกับจิตวิญญาณเป็นคนละรูปธรรมกัน
การนิพพานความทุกข์ของจิตหยาบนั้น
มันมิได้ทำให้จิตวิญญาณหลุดพ้นแต่อย่างใด
จงทำความเข้าใจ "อนุตรธรรม" ข้อนี้กันไว้ด้วย
ถ้าไม่ต้องการหลงทางนิพพานต่อไปอีก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13/04/2021