สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าพวกท่านยังยึดติดกับความเชื่อ
ในความหมายของนิพพานแบบเดิมๆกันอยู่
นอกจากจะทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะต้องหลงทางนิพพานอย่างไม่รู้สิ้นสุดแล้ว
มันยังจะทำให้จิตวิญญาณของท่าน
ไม่อาจ "หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณที่จากมา
ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดา
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่อาสาว่า
จะมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ได้เลย
เพราะสัจธรรมความจริงเรื่อง นิพพาน
กับสัจธรรมความจริงเรื่อง การหลุดพ้น นั้น
ท่านทั้งหลายจะใช้การคิดรู้แบบจิตมนุษย์
ด้วยกลไกสมองสองซีกที่มีขีดจำกัดไม่ได้
ท่านต้องรับฟังจากพระโอวาทพระบิดา
ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามาเท่านั้น
ความรู้เรื่องนิพพานกับการหลุดพ้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่ท่านทั้งหลาย
จะใช้หลักการและเหตุผลคิดเดากันเองไม่ได้
ไม่ต่างจาก "ความจริง" ของท่านในบางเรื่อง
ต่อให้ท่านฉลาดปราดเปรื่องทางปัญญาแค่ไหน
ท่านก็จะไม่อาจ "คิดเอง-รู้เอง" ได้เลย
เช่น ท่านเกิดวันเดือนปีอะไร เกิดที่ไหน รพ.อะไร
เวลาตกฟากเป็นเวลาเท่าไหร่ ข้างขึ้นข้างแรม
ใครเป็นแพทย์พยาบาลทำคลอด เป็นต้น
ความจริงส่วนตัวของท่านดังกล่าวนี้
ซึ่งเป็นประวัติการเกิดของท่านในวัยทารกนั้น
ต่อให้ท่านปัจจุบันนี้เป็นยอดอัจฉริยะแห่งนักคิด
ถ้าท่านไม่รับฟังพ่อแม่ของท่านบอกให้รู้
ท่านจะรู้ความจริงของตัวท่านเองในวัยเด็กมั้ย
ถ้าท่านไม่เชื่อคำพ่อแม่ของท่านกล่าว
แล้วคิดว่าจะค้นหาความจริงของท่านได้จากใคร
ดังนั้น
เรื่อง "นิพพาน" และ "การหลุดพ้น"
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของท่าน
มันก็เป็น "ความจริงระดับอนุตรธรรม"
ที่เกินการคิดด้วยจิตปัญญาของมนุษย์ได้
โดยผู้ที่จะบอกความจริงต่อท่านได้
และท่านทั้งหลายต้องใส่ใจรับฟังก็คือ
ที่ทรงพระเมตตาส่งเรามาบอกความจริงต่อท่าน
ในพระนามของพระองค์เท่านั้น
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีที่ผ่านมา
คนนำทางตาบอดได้สอนให้ท่านทั้งหลาย
เกิดความสับสนสงสัยเกิดความเชื่อที่งมงายว่า
ถ้ามนุษย์สามารถ ดับทุกข์ ได้หมดสิ้นเมื่อไหร่
จิตวิญญาณของตนก็บรรลุมรรคผลนิพพานเมื่อนั้น
โดยคำว่า "ทุกข์" ในความหมายของพวกเขา
หมายถึง กิเลส ตัณหา ราคะจริต อารมณ์ขยะ
กับการมีสังสารวัฏ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
ซึ่งคนนำทางตาบอดตั้งหลายคน
เรียกสิ่งเหล่านี้แบบเหมารวมว่า กองทุกข์ นั่นเอง
เพราะเรียกเหมารวมว่า "กองทุกข์" นี่แหละ
พวกเขาจึงตกหลุมพรางของคำนี้ไปในที่สุด
จนละทิ้งที่มาของคำว่า "กองทุกข์"ไปเสียสิ้น
ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า
ทุกข์ทั้งกลุ่มทั้งกองที่เรียกว่า "กองทุกข์" นั้น
แท้จริงแล้วมันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ซึ่งเมื่อเกิดแล้วจะเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก
เพราะมันทำให้จิตหยาบนั้นเกิดอาการไม่สงบ
ทำให้เกิดอาการสั่นสะเทือนแบบทุรนทุราย
หรือที่เรียกว่าจิตสั่นสะเทือนแบบไม่สมดุล
อาการของจิตที่สั่นสะเทือนในลักษณะนี้
องค์จิตจักรวาล ทรงเรียกว่าสั่นสะเทือนด้านลบ
ตัวอย่างเช่น
ความโกรธ ความโลภ ความรักเพื่อเอา
และความงมงายลุ่มหลง เป็นต้น
หรือจะกล่าวโดยรวมก็คือกิเลส ตัณหา ราคะ
กับอารมณ์ขยะทั้งปวงนั่นแหละ
ความทุกข์ประเภทที่สองนี้
เป็นสิ่งที่จิตหยาบไม่ต้องทนเพราะมันเป็นผลกระทบ
ให้เกิดทุกข์ต่อ "จิตวิญญาณ" ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
เมื่อกายสังขารกับจิตหยาบสิ้นอายุขัยตายไปแล้ว
อาจจะกล่าวง่ายๆก็ได้ว่า
มันเป็นความทุกข์ของ "จิตวิญญาณ"
อันเกิดจาก "จิตหยาบ" ในภพชาตินั้นเป็นผู้ก่อ
มิใช่ความทุกข์ของจิตหยาบโดยตรงแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น
ความทุกข์ของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ที่จะต้องตกเป็นทาสของ กฎแห่งกรรม
ต้องเดินทางลงไปบำบัดรักษาใน นรก
ต้องมีภพชาติใหม่เพื่อการกลับมาเกิดใหม่
อันรวมเรียกว่า สังสารวัฏ
แม้กระทั่งการ หลุดลอย ไปค้างบนสวรรค์มายา
ดินแดนที่พระบิดาหรือพระเจ้ามิได้ทรงสร้าง
มันเป็นแค่ลอยไปค้างอยู่ในที่ว่างๆของจักรวาล
แล้วสมมุติเนรมิตกันเอาเองว่าเป็นแดนสรวงสวรรค์
จนเชื่อกันว่าเป็นภพภูมิที่เหนือกว่าภพภูมิมนุษย์
ทั้งๆที่เป็นแค่เมืองมายามิใช่ภพภูมิที่แท้จริง
ซึ่งหลุดลอยขึ้นไปติดค้างแต่ก็ยังครองทุกข์อยู่
โดยผู้เป็นทุกข์ก็คือ "จิตวิญญาณ"
ผู้อยู่เบื้องหลังความตายของมนุษย์นั่นล่ะ
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ถ้าท่านดับทุกข์ประเภทที่ 1 ได้อย่างสิ้นเชิง
หมายความว่าจิตหยาบของพวกท่าน
ว่างไปจากกิเลส ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะได้
ก็แปลว่าตัวตนจิตหยาบของท่านนั้นมันยังคงอยู่
แม้ตัวต้นเหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์นั้นดับแล้ว
ซึ่งปฏิบัติการดับความทุกข์ประเภทที่หนึ่งนี้
มันคือการ "ดับ" คุณสมบัติของจิตหยาบ
อันเป็นที่มาแห่งความทุกข์ที่ทนได้ยาก
ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์นั่นเอง
ถ้าท่านสามารถดับการเกิดดับของมันได้สิ้น
จนตลอดชั่วชีวิตนี้มันจะไม่มีการก่อตัวขึ้นมาอีก
แสดงว่า "ความทุข์" เหล่านี้มันดับสนิทคือดับสูญ
พระศาสดาพวกท่านจึงเรียกว่า
ณ บัดนั้น "จิตหยาบ" มัน นิพพาน ตัวทุกข์แล้ว
พวกท่านจึงต้องจำไว้ว่าความจริงที่เรากล่าวนี้
หมายถึงมนุษย์ทุกคนต้องนิพพานก่อนตายเท่านั้น
ผลจากการที่จิตหยาบนิพพานความทุกข์ได้สิ้น
จึงเกิดอานิสงส์ต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่
นั่นคือ จิตวิญญาณนั้นไม่มีหน้าที่ต้องตายอีกแล้ว
เพราะไม่ถูกกฎแห่งกรรมครอบงำ
ให้ไปลงนรก ให้ชดใช้กรรม ให้มีกรรมเป็นกำเนิด
ให้ต้องมาเกิดใหม่ ให้เวียนวนอยู่ในสังสารวัฏ
ซึ่งเป็นความทุกข์กองใหญ่ของจิตวิญญาณ
ที่จิตหยาบของท่านเป็นผู้ก่อกรรมเวรเอาไว้ให้
ถ้าจิตหยาบของมนุษย์สามารถนิพพานก่อนตาย
จิตหยาบนั้นก็จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณในสองมิติได้ทันที
แต่ถ้าจิตหยาบยังคงเลอะเทอะเหลวไหลไปวันๆ
ตลอดภพชาติท่านก็ทำภารกิจของจิตวิญญาณมิได้
จนต้องเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
ด้วยเหตุนี้เอง
การที่คนนำทางตาบอดสอนพวกท่านว่า
เมื่อตายแล้วค่อย "นิพพาน" นั้น
จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
เพราะจิตหยาบนิพพาน
เป็นการแสดงความพร้อมของจิตหยาบ
ที่จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ขณะเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นนั่นต่างหาก
เมื่อไม่ปรารถนาจะเป็นมนุษย์ต่อไปแล้ว
มนุษย์ก็สามารถละวางกายสังขาร
เพื่อนำพาจิตวิญญาณ "หลุดพ้น" กลับบ้าน
ตามที่จิตจักรวาลจะแนะนำพวกท่านต่อไป
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2021