20 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล 

20/04/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

เพราะคนนำทางตาบอด
ถอดรหัสสัจธรรมของพระศาสดาไม่ถูกต้อง
จึงชักพาให้พี่ๆน้องๆผู้ไม่รู้ให้เชื่อตามกันมา
จนพาให้หลงทางนิพพานกันเป็นทิวแถว
อีกทั้งยังกระทบถึงการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้อีกด้วย

คำสอนของคนนำทางตาบอด
อันเป็นเหตุให้หลงทางนิพพานที่สำคัญคือ
เพราะพวกเขาถอดความหมายที่พระศาสดา
ได้ตรัสเอาไว้ตอนหนึ่งว่า...

"การเวียนว่ายตายเกิด
ด้วยการมีสังสารวัฏนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง"

โดยคนนำทางจากรุ่นสู่รุ่น
ถอดความหมายของคำว่า ทุกข์ ได้ว่า
ทรงหมายถึง ความทุกข์ระทม ความขมขื่น
อันเกิดจากการเสียสมดุลทางจิตใจ
ซึ่งเมื่อจิตเกิดอาการเหล่านี้แล้วจะ ทนได้ยาก

ทั้งๆที่แท้จริงแล้วพระองค์ทรงหมายถึง
ความทุกข์ยาก มิใช่ความทุกข์ระทม

การมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยาก
มิใช่ใครอยากจะมาเกิดก็มาเกิดได้
เมื่อเกิดแล้วจะพยายามฝืนความแก่ชราก็ยาก
แม้กระทั่งเมื่อถึงคราวจบสิ้นอายุขัย
ก็ยากที่จะฝืนความตายที่ถูกกำหนดไว้แล้วได้
เพราะความยากที่ทุกคนต้องเผชิญดังว่านี้แหละ
จึงเป็นที่มาของคำว่า "เป็นทุกข์" อย่างยิ่ง

เพราะคนนำทางตาบอดถอดความหมายผิด
จึงหยิบฉวยเอาการมีสังสารวัฏมาเป็นประเด็น
โดยพยายามหาทางดับการมีสังสารวัฏให้ได้
คือการตายแล้วไม่ขอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ถ้าทำได้สำเร็จก็คิดเหมาเอาเอาเองว่า
ตนนั้น "พ้นทุกข์" ได้แน่แล้ว

เมื่อตนพ้นทุกข์ได้แล้วก็เดาส่งเดชอีกว่า
จิตวิญญาณของตนนั้นนิพพานแล้ว
ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะตนไม่มีความทุกข์แล้ว
เมื่อเห็นว่าตนนั้นสิ้นทุกข์พ้นทุกข์ได้แล้ว
จึงเหมาเอาว่าตนนั้นดับอัตตาตัวตนได้แล้ว
เพราะไม่มีใครที่จะทุกข์อีกต่อไปแล้วนั่นเอง
ซึ่งเป็นการคิดแบบจิตมนุษย์ด้วยสมองซีกซ้าย
มิใช่ความคิดแบบจิตวิญญาณด้วยสมองซีกขวา
หลักการคิดของพวกเขาจึงเป็นตรรกะประหลาด

นี่จึงเป็นที่มาของความเชื่อของพวกเขาที่ว่า
การนิพพานคือการดับสูญของจิตวิญญาณ
พูดภาษาชาวบ้านแปลว่า "ว้าปหาย" ล่องหน
ซึ่งเป็นมรรคผลสูงสุดของผู้ปฏิบัติธรรมพวกนี้
โดยไม่คิดต่อว่าจิตวิญญาณที่สูญหายจากโลก
เพราะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้วก็จริง
แต่จิตวิญญาณนั้นหายไปอยู่ตรงไหนกัน
ภายในอนันตจักรวาลหรือเอกภพอันไพศาลนี้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความเชื่อความเข้าใจเรื่องนิพพาน
ที่มันเบี่ยงเบนบิดเบือนไปนั้น
เหตุเริ่มต้นจากคนนำทางตาบอดพาหลงทาง
ตั้งแต่ถอดความหมายของคำว่า "ทุกข์" ผิดไป
จากคำว่า "ทุกข์ยาก" เพราะมันยากจึงทุกข์
ความทุกข์จึงเป็น "สิ่งที่ทนได้ยาก"

แต่คนนำทางตาบอดกลับเห็นเป็น "ทุกข์ระทม"
เพราะเข้าใจว่าทรงหมายถึงจิตที่เสียสมดุลไป
ในท่ามกลางการเกิดแก่เจ็บตาย
ที่เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ซึ่งมันสุขไม่จริงว่างั้น

เมื่อตนสามารถดับตัวทุกข์ได้จึงหลงผิดอีกว่า
ตัวตนของตนก็ย่อมไม่มีด้วยแล้วเช่นเดียวกัน
เพราะว่ามันไม่มีใครทุกข์อีกแล้วนี่นา
เมื่อดับการมีอยู่ของตนเองได้แล้วเช่นว่านี้
จึงพากันสรุปหน้าตาเฉยว่าตนนั้นนิพพานแล้ว
จิตวิญญาณของตนหายสาปสูญไร้ตัวตนแล้ว

เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายทุกยุคที่เรากลับมาว่า
ความเชื่อของพวกเขากับความจริงของพระบิดา
ท่านจะพิจารณาเลือกคิดตามสิ่งใดที่ไม่งมงาย

เชิญใช้สติปัญญาพิจารณากันเอาเองเถิด
พระบิดาทรงเมตตาให้เราติดอาวุธทางปัญญาให้แล้ว

ส่วนในยุคสุดท้ายที่เรากลับมาครั้งนี้
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เราจะย้ำคิดให้ท่านทั้งหลาย
คือคำว่า "อย่าหลงทางนิพพาน" เด็ดขาด
เพราะบัดนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
พระบิดาทรงพิพากษาโลกและกำลังชำระโลก
ถ้าใครชำระจิตตนเองไม่ทันหรือดื้อรั้นไม่ใส่ใจ
ผู้นั้นจะต้องกลายเป็นขยะรกโลกที่จะถูกคัดทิ้ง
ภายในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้แล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/04/2021