02 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 02/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

02/04/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระโอวาทพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านเรามา
เป็นสัจธรรมสูงสุดระดับ อนุตรธรรม
ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่นอก อนันตจักรวาล
หรืออยู่นอกกะลาที่คว่ำครอบพวกท่านเอาไว้
เป็นเวลายาวนานกว่าหกหมื่นปีเศษแล้ว

อนุตรธรรมความจริงจากพระโอวาทที่เรากล่าว
จึงเป็น ความรู้ใหม่ สำหรับท่านทั้งหลายที่ต้องรู้
ที่ยังไม่มีสัพพัญญูหรือผู้ใดเคยล่วงรู้มาก่อน
ทั้งเป็นสัจธรรมความจริงที่โลกนี้ไม่เคยมีอีกด้วย

สัจธรรมระดับอนุตรธรรมดังกล่าวนี้
เป็นความจริงที่มนุษย์ทั้งโลกในทุกศาสนาต้องรู้
จะไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ไม่รับฟังไม่รับรู้นั้นไม่ได้

เพราะมันจะเป็นเหตุให้พวกท่านทั้งหลาย
ไม่มีความรู้ว่าจิตวิญญาณของท่านเป็นใคร
จิตวิญญาณของท่านมาจากไหน ใครให้มา
จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์โลกแล้ว
พวกท่านมีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใดบ้าง เป็นต้น

ความจริงระดับอนุตรธรรมเหล่านี้
ล้วนเป็นความลับของจิตวิญญาณของท่านเอง
ซึ่งเป็นความจริงที่พวกท่านต้องรู้ให้ได้

แต่เนื่องจากพระศาสดาที่เกิดจากโลก
ที่พวกท่านยอมรับนับถือมั่นศรัทธามั่นกันอยู่นั้น
มิอาจเข้าถึงความจริงนอกอนันตจักรวาลได้
เพราะจิตปัญญาของสมองสองซีกของมนุษย์
มีขีดจำกัดในการใช้มันเพื่อการเรียนรู้หยั่งรู้สิ่งนี้
พระองค์ทั้งหลายจึงมิเคยกล่าวไว้ให้พวกท่านรู้
จนยังผลให้สัจธรรมความจริงหลายๆประการ
มนุษย์โลกทั้งหลายจึงมิอาจเข้าถึงกันได้
ทั้งๆที่มันเป็นสัจธรรมที่ล้วนมีอยู่จริงแท้แน่นอน

เมื่อหาคำตอบไม่ได้อธิบายไม่ได้
มนุษย์ก็จะพากันไปสิ้นสุดยุติที่เป็น อจินไตย
เพราะตนคิดไม่ออกบอกไม่ได้และเดาไม่ถูก
โดยจะอ้างว่ามันเป็นสิ่งไกลตัวรู้ไปก็ไร้ประโยชน์
เพื่อจะได้ไม่ต้องถามต่อไม่ต้องคิดต่อไปอีก
เพราะมันเกินสติปัญญาของตนที่จะเข้าถึงได้
และเชื่อว่าถ้าตนไม่รู้โลกนี้ก็ต้องไม่มีใครรู้เช่นกัน
ซึ่งเป็นหลักคิดแบบ "หลงตัวเอง" โดยแท้

คนเหล่านี้ถึงแม้จะเชื่อพันเปอร์เซ็นต์ว่า
ตนมีจิตวิญญาณเป็นผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม
และรู้ว่าตนมีอดีตชาติด้วยกันทุกคน
แต่ก็จะตอบว่าเป็น "อจินไตย" ทันที
ถ้ามีใครถามว่าภพชาติแรกที่มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านมาจากไหน
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของพวกท่านเป็นใคร

พวกท่านจะถูกเตือนว่าอย่าถามต่ออย่าคิดต่อ
ทั้งๆที่การถามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตนเองนั้น
มันไม่ดีงามมันไม่น่าถามถึงที่ตรงไหน
การเป็นลูกแต่ไม่เคยนึกถึงพ่อแม่ของตนเลย
วันๆได้แต่ทำตนเป็นลูกกำพร้าทางจิตวิญญาณ
มันคือลูกอกตัญญูหรือเนรคุณและผิดบาปชัดๆ
หลายคนก็อ้างว่าที่ตนไม่คิดต่อไม่ถามถึง
ก็เพราะว่า ศาสดา ของตนไม่ได้สอนไม่ได้พูดไว้
คนอื่นพูดคนอื่นกล่าวให้รู้จะไม่เชื่อจะไม่ฟัง
ตนจะเชื่อศาสดาของตนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น

เพราะคนเหล่านี้ไม่รู้ความจริงว่า
สัจธรรมระดับอนุตรธรรมที่ว่านี้นั้น
จะต้องรับฟังจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาจากนอกอนันตจักรวาล
ในระบบจิตสู่จิตที่เป็น Vertical Telepathy เท่านั้น
เพราะเราเป็น "บุตรเอก" ที่พระองค์ส่งเรามา
ให้มากล่าวอนุตรธรรมความจริงต่อพวกท่าน
เพียงคนเดียวเท่านั้นในปลายยุคพลังงานเก่านี้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความจริงของพระบิดา
ที่พวกท่านเข้าถึงไม่ได้แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว
ก็มักจะใช้สติปัญญาอันจำกัดที่มีอยู่
สร้างกระบวนการที่เรียกว่า เดาส่งเดช ขึ้นมาเอง
ความรู้จากการเดาส่งเดชลักษณะนี้คือ อวิชชา
อันหมายถึงความรู้ที่ไม่ถูกต้องซึ่งได้จากการเดา

เมื่อคนแรก "เดาเอา" แล้วมีหลายคนเชื่อตาม
ความรู้จากการเดาแต่ไม่จริงที่ว่านั้น
มันก็ผันแปรมาเป็น อุปาทานหมู่ คือเชื่อว่าใช่
โดยไม่มีใครคิดโต้แย้งหรือ "ฉุกคิด"

ตัวอย่างของการเดาส่งเดชเพราะไม่รู้อนุตรธรรม
จนทำให้จิตหยาบไม่นิพพานจิตวิญญาณไม่หลุดพ้น
ที่พอจะยกตัวอย่างให้ท่านรู้ไว้บ้างมีดังนี้

1.เดาเอาเองว่าจิตวิญญาณเป็นผู้พเนจร
พลัดหลงเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนตั้งใจมาเกิด
และมีหน้าที่สำคัญในการมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อถือบทบาทการเป็นสัตว์สังคมด้วย

2.เมื่อเดาว่าจิตวิญญาณตนเป็นผู้พเนจรเข้ามา
จึงพยายามหาทางหนีการเกิดตายไปจากโลก
เพราะมองว่าการมีสังสารวัฏนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
แถมอาจคิดว่าตนไม่น่าโง่มาเกิดด้วยซ้ำไป

จนเป็นที่มาของการปฏิบัติบำเพ็ญแบบโดดเดี่ยว
โดยปลีกตนเองออกไปจากการเป็นสัตว์สังคม
แล้วพากัน "หลุดลอย" ไปสร้างภพภูมิใหม่ขึ้นเอง
เรียกว่าแดนสวรรค์มายาด้วยเชื่อว่าสูงกว่ามนุษย์
ไปลอยค้างกันอยู่เป็นลำดับชั้นกันที่บนนั้น
ชั้นบนสุดสมมติว่าเป็น "อรหันต์" ผู้เข้านิพพานแล้ว
เพราะเชื่อว่าดับทุกข์ได้หมดสิ้นจนไร้อัตตาแล้ว
จึงเดาส่งเดชว่าเมื่อดับทุกข์ได้จนไร้อัตตา
แสดงว่าจิตวิญญาณนั้น "ดับสูญ" คือไม่มีแล้ว
เมื่อจิตวิญญาณไม่มีตัวตนแล้วดับสูญแล้ว
ก็เลยเดาส่งเดชเอาเองอีกว่าถึง นิพพานแล้ว

3.เพราะพากันเดาส่งเดชจนเชื่อกันว่า
จิตวิญญาณเป็นผู้พลัดหลงมาเกิด
เมื่อมาเกิดแล้วต้องทุกข์ทุกวันทุกข์กันทุกคน
จึงพากันละทิ้งหน้าที่ของจิตวิญญาณของตน
พากันลอยขึ้นไปเสวยสุขอยู่ในวิมาณบนสวรรค์
เพราะรังเกียจการเกิดเป็นมนุษย์

การเดาส่งเดชจนหลงทางหลงธรรมที่ว่านี้
เกิดจากการไม่รู้อนุตรธรรมนอกกะลาว่า
จิตวิญญาณของตนขันอาสาพระบิดาหรือพระเจ้า
เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่ช่วยกันหมุนธรรมจักรด้วยความรัก
เพื่อช่วยโลกหมุนรอบตนเองอย่างสมดุลต่อเนื่อง
โลกจะได้สมดุลจนสามารถค้ำจุนอนันตจักรวาล
ให้สมดุลไว้อย่างยั่งยืนตลอดไป
เพราะพระเจ้าหรือพระบิดาทรงออกแบบไว้เช่นนี้

ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาผู้หลงทางเหล่านี้
มิอาจใช้ความรักหรือเมตตาธรรมค้ำจุนโลกได้
เพราะละทิ้งภารกิจการ "หมุนธรรมจักร"
เพื่อตนเอง เพื่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อโลกและจักรวาล
แต่กลับเกิดมาแล้วมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อตนเองเท่านั้น
โดยไม่รู้จะเรียกว่าสัตว์สังคมอย่างเต็มคำได้อย่างไร

4.เพราะพวกเขาเดาเอาว่า
จิตวิญญาณของเขาที่มาเกิดเป็นมนุษย์
เป็นผู้ร่อนเร่พเนจรจึงไม่มีหัวนอนปลายตีน

เมื่อพระบุตรเอกซึ่งเป็นศาสดาที่มาจากพระเจ้า
เปิดเผยความลับให้พวกเขาได้รู้ว่า
พวกเขาเป็นผู้มาจากพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของพวกเขานั่นเอง
พวกเขาก็จะพากันปฏิเสธพระองค์ทันที
เพราะไม่เชื่อพระบุตรเอกไม่เชื่ออนุตรธรรมนี้

เหตุที่ไม่เชื่อเพราะอ้างว่า
ศาสดาของตนไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้า
มิได้เคยกล่าวถึงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไว้
ที่สำคัญคือยึดติดว่าจิตวิญญาณของตนนั้น
เป็นวัตถุล่องลอยผู้ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ
ไม่มีบ้านเกิดเมืองนอนไม่มีผู้ให้กำเนิด
จึงไม่เชื่อและไม่รับฟังความรู้ใหม่ที่แท้จริงนี้

5.การเดาส่งเดชอีกตัวอย่างหนึ่ง
ที่ยังผลให้มนุษย์โลกปฏิบัติธรรมมานาน
แต่ก็ยังนิพพานเพื่อการหลุดพ้นไม่ได้
เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณมาเกิดเป็นคนสองมิติ
แถมยังเป็นคนที่มีสองภาคในตนเองด้วย
นั่นคือมีทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
แต่เข้าใจว่าตนมีจิตเดียวคือจิตวิญญาณ

การดำเนินชีวิตจึงเกิดความผิดพลาด
และเข้าใจการเป็นคนสองมิติของตนผิดหมด
ซ้ำร้ายยังพากันหลงทางนิพพานอีกด้วย
เช่น เข้าใจผิดในกระบวนการของขันธ์ 5
ไม่เข้าใจเรื่องจิตสามนึกและจิตใต้สำนึก
ไม่เข้าใจการใช้สมองสองซีกดำเนินชีวิต
เข้าใจผิดว่านิพพานกับหลุดพ้นเป็นเรื่องเดียวกัน
ฯลฯ

เพราะมีมิจฉาทิฐิจนหลงตัวเองจึงเกิดการดื้อรั้น
จนหลงยึดติดในตัวตนพระศาสดาของตนคนเดียว
จึงทำให้ศาสดาและศาสนาเดียวที่ตนนับถือ
กลายเป็นเจ้าลัทธิคนหนึ่งกับลัทธิหนึ่งไปในที่สุด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
02/04/2021