04 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 4/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ยังมี "คำบ่น" ไม่สนสาระของเธอคนเดิม

ที่ยังตกค้างในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา

อันควรนำมากล่าวต่อท่านทั้งหลาย

เพื่อเป็น "บทเรียน" สำคัญพิเศษ

ในพระนาม "บุตรเอก" แห่งพระบิดาอยู่อีก

ซึ่งเราจะขอกล่าวถึงเป็นลำดับไปดังต่อไปนี้

 

เธอคนเดิม "บ่น" ไว้ว่า

 

"...ดิฉันเชื่อในคำสั่งสอน

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าค่ะ

เพราะท่านเป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง

เห็นแจ้งโลกได้ด้วยตนเอง

ไม่ใช่อ่าน/ศึกษา

จากคัมภีร์อักษรภาษาใดๆค่ะ..."

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

1. องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนาม "สมณโคตม" หรือ สมณโคดม

ทรงมีเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

และมีดวงพระจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้

ซึ่งเป็น #คนสองมิติ ดุจเดียวกับมนุษย์คนอื่น

 

ความเชื่อของเธอคนนี้ที่ว่า

พระศาสดาเป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง

เห็นแจ้งโลกได้ด้วยตนเองนั้น

เราขอแย้งว่าเธอกล่าวถูกแค่เพียงครึ่งเดียว

 

เธอคงศึกษาพุทธประวัติแค่เพียงบางเล่ม

เธอคนนี้คงอ่านแค่บางตอนบางหน้า

เธอจึงไม่พบว่าแท้แล้วท่าน "ทีปังกร"

ก็เป็นครูคนหนึ่งของพระพุทธองค์

 

คำว่า "ครู" แปลว่า "ผู้รู้"

ครูจึงเป็นผู้ที่จะช่วยให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่ตนรู้

 

ดังนั้น

พระศาสดาของเธอพระองค์นี้

จึงต้องมีครูผู้สอนพระองค์ให้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้

พระองค์จึงยังต้องเรียนรู้ยังต้องมีครูสอน

ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ไม่เรียนก็ไม่รู้

ไม่มีใครรู้เองได้โดยไม่มีครูเสี้ยมสอน

 

พระบิดาจึงทรงแทรกแฝงสัจธรรมเอาไว้

กับทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น

โดยกำหนดติดตั้งเอาไว้รายรอบตัวพวกท่าน

เพื่อให้มันเป็น "ครู" ของท่านทั้งหลายนั่นเอง

 

2. หลังจากพระองค์ทรง "เรียนรู้"

ผ่านครูทั้งหลายมามากแล้ว

 

พระองค์ยังทรงค้นพบสัจธรรมที่อยู่ในป่า

จาก "ความจริง" ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ

ตามที่พระบิดาได้ทรงกำหนดสร้างเอาไว้

เพื่อให้เป็น "ครู" ของมนุษย์โลกได้ฉุกคิด

ด้วยวิธี "คิดรู้" ด้วยตนเองอีกด้วย

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ในที่สุดหลังจากทรงลาจากครูเข้าสู่ป่า

ก็ทรงพบสัจธรรมจากการใช้สติปัญญา

ของสมองซีกซ้ายนำซีกขวาได้อีกมากมาย

นับได้ถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ (บท)

ด้วยวิธี #คิดวิเคราะห์ ในสิ่งที่ทรงรู้เห็นนั้น

 

โดยหลักคิดของพระองค์มี 2 อย่าง คือ

#หนึ่งต้องมีเหตุผล

#สองต้องใช้เหตุผลเป็น

 

หลักการคิดดังกล่าวนี้

ทรงเรียกว่าหลัก #อิทัปปัจยตา

 

สัจธรรมความจริงที่ทรงเข้าถึงได้

ด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายนี้

เรียกว่า #โลกิยธรรม

 

จากนั้นพระองค์ก็จะทรงนำเอา

โลกิยธรรมที่วิเคราะห์มาได้แล้ว

ด้วยความฉลาดของสมองซีกซ้าย

ที่เรียกว่า "สติปัญญา" มาคิดต่อ

 

โดยจะทรงนำเอาองค์ความรู้ที่ได้นั้น

มาทำการ #สังเคราะห์ ด้วยปัญญา

ที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

ซึ่งเป็นความฉลาดของสมองซีกขวา

ที่เรียกว่า "ปัญญาญาณ"

 

เพื่อเข้าให้ถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรม

ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้

ตรงตามพระประสงค์ของพระบิดา

ที่ทรงฝากแฝงสัจธรรมไม่ธรรมดาเอาไว้

กับทุกสรรพสิ่งทุกปรากฏการณ์

ซึ่งอยู่รายรอบพวกท่านอยู่ทุกหนแห่ง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

สัจธรรมความรู้ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์

จึงเป็นสัจธรรมที่พระองค์

ทรงค้นพบได้ด้วยวิธี "เรียนรู้"

โดยใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

แล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ได้นั้นมา "คิดรู้"

โดยใช้ความฉลาดของสมองซีกขวา

ที่เรียกว่า #ปัญญาญาณ เป็นเครื่องมือ

 

สัจธรรมความจริงที่ทรงเข้าถึงได้

ด้วยปัญญาญาณของสมองซีกขวาที่ว่านี้

เรียกว่า #โลกุตรธรรม

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอถามท่านทั้งหลายว่า

 

อันสัจธรรมความรู้ใดๆที่ท่านได้มา

เพราะมีครูเมตตาสอนให้รู้นั้น

ท่านจะเรียกว่า "ตรัสรู้" คือ #รู้เอง ได้หรือ

 

อันสัจธรรมความรู้ใดๆที่ท่านได้มา

เพราะพระบิดาแฝงนัยไว้กับธรรมชาติแวดล้อม

เมื่อพระองค์สัมผัสรู้ดูเห็นมันจึงขยันนำมาขบคิด

ด้วยความฉลาดของสมองสองซีกของพระองค์

จึงสามารถอ่านสิ่งแวดล้อมจนพบสัจธรรมได้

ท่านยังจะเรียกว่า "ตรัสรู้" คือ "รู้เอง" ได้หรือ

 

3. พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

อันคำว่า #ตรัสรู้ นั้น

ตัดมาจากประโยคที่ทรงกล่าวว่า "เรารู้แล้ว"

ซึ่งมันเป็นลักษณะของการรำพึงที่ในใจ

เมื่อทรงหยั่งถึงสัจธรรมใดๆ

ที่สำคัญเป็นพิเศษได้ด้วยตนเอง

 

โดยมิได้ผ่านการสอนให้รู้ของครูคนไหน

และมิได้ผ่านกระบวนการคิดรู้ของสมองด้วย

แต่ทว่าองค์ความรู้พิเศษนั้น

มัน "ผุด" ขึ้นมาเองที่ในใจ

ดั่งดอกบัวผุดโผล่ขึ้นมากลางสระน้ำนั่นแล

 

ดังนั้น

การเข้าถึงองค์ความรู้ใดๆได้

ตามแบบดอกบัวที่ผุดขึ้นกลางสระเท่านั้น

จึงจะเรียกได้ว่าตรัสรู้ คือ #รู้เอง

เพราะความรู้ที่เกิดจาก "ตัวรู้" ที่ว่านี้

ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป

จู่ๆก็เกิดรู้ขึ้นมาเองได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

4. ด้วยเหตุนี้เอง

ที่เรากล่าวไว้แต่ต้นว่าเธอคนที่เข้ามา

บ่นไว้ในห้องเรียนของพวกเรานี้

กล่าวถูกต้องแค่เพียงครึ่งเดียวที่สรุปว่า

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง

เห็นแจ้งโลกได้ด้วยตนเอง

จึงเป็นการกล่าวที่ถูกต้องแล้ว

 

เพราะพระองค์จะทรงเห็นแจ้งโลก

โดยไม่มีครู ไม่เรียนรู้ และไม่คิดรู้ไม่ได้

ซึ่งจะรู้เองตามที่เธอคนนี้ขี้ตู่ไม่ได้แน่

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

สัจธรรมทั้งโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม

ต้องอาศัยครูและใช้กระบวนการคิดรู้

ด้วยความสามารถในการใช้ปัญญาเท่านั้น

 

แต่ที่เรายอมรับว่า

พระองค์ทรงตรัสรู้คือรู้เองได้

โดยไม่มีครูที่เป็นมนุษย์หรือเทวดาสอน

นั่นคือสัจธรรมเรื่อง #ธรรมจักรกัปปวตนสูตร

 

เพราะสัจธรรมเรื่องนี้

พระองค์ได้คำตอบมาจากการถามตนเองว่า

จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์โลกทำไม

 

เพราะเมื่อมาเกิดแล้วก็แก่

แก่แล้วก็เจ็บป่วยไข้ ป่วยไข้แล้วก็ตาย

ตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่อีก

 

พระองค์ทรงมองว่ามันเป็นทุกข์ทั้งชีวิต

แถมมนุษย์ยังมีการก่อกรรมทำผิดบาปกันอีก

ตลอดชีวิตล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

เพราะคนบางคนที่คบหาก็ร้ายบางคนก็ดี

บางคนบางทีเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย

จึงทรงพยายามหาวิธีที่จะตายแล้ว

ไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดอีกอยู่ตลอดมา

 

ในคืนจันทร์เพ็ญริมฝั่งแม่น้ำยามลมเย็นสบาย

พระองค์ก็ได้รับคำตอบที่ในใจว่า

ชีวิตที่วุ่นวายของมนุษย์นั้นมันคือบทละคร

ที่แต่ละคนขีดเขียนกันมาเองทั้งบทดีบทร้าย

เพื่อนำมาแสดงร่วมกันบนโลกเสรีนี้

ตามแผนการที่จิตวิญญาณทุกคนรับรู้กันมา

เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างพลังรัก

จากจิตสามนึกด้านบวกให้แก่กันและกัน

 

เขาดีมาก็ให้ดีตอบ

เขาร้ายมาก็ต้องดีตอบหรือวางเฉย

ต้องรักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น

เพื่อให้เครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายสังขาร

ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

ป้อนให้แกนแม่เหล็กโลกในใจกลางโลก

นำไปจุดระเบิดอะตอมของธาตุออกซิเจน

ให้เกิดกระบวนการ Nueclear Fission

เพื่อให้แกนโลกบิดตัวช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุน

 

เพราะโลกจะสมดุลไม่ได้

ถ้าไม่สามารถหมุนรอบตัวเอง

ในอัตราเร็วคงที่ได้

 

มนุษย์ทุกคนบนโลก

จึงมีหน้าที่ต้องรักกันให้ได้

แม้ใครคนนั้นจะไม่น่ารัก

ต้องให้อภัยกันให้ได้ แม้จะไม่น่าให้อภัย

โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งนั้น

 

กระบวนการทางจิตปัญญาของมนุษย์

ที่จะต้องเข้าถึง "ความรักบริสุทธิ์"

อันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณของท่าน

มันคือการ #หมุนธรรมจักร นั่นเอง

 

มนุษย์เห็นว่าพระองค์ตรัสรู้เรื่องนี้ได้เอง

จะคิดเอาว่าพระองค์ทรงรู้เองก็ได้นะ

เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่ายังมีบางสิ่งที่ไม่รู้

เบื้องหลังที่มาของความรู้อันยิ่งใหญ่นี้

เพราะมันเป็นทำนองเรื่องของผู้ใหญ่

เด็กๆทั้งหลายไม่เกี่ยวนั่นแหละท่าน

 

แต่เรามีแง่คิดสำคัญ 2 ประการ คือ

 

1. ความรู้เรื่องมนุษย์ต้องหมุนธรรมจักร

เพราะเป็นหน้าที่ของจิตวิญญาณที่ต้องทำ

เป็นความรู้สำคัญระดับ #อนุตรธรรม

ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

หรือพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้

 

2. เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์

อันประกอบด้วยจิตกับสมองทั้งสองซีก

ถูกสร้างขึ้นอย่างมีข้อจำกัด

จะไม่สามารถรู้เรื่อง "อนุตรธรรม" ทุกสิ่ง

ด้วยการคิดรู้ เรียนรู้ และหยั่งรู้เองได้เลย

 

สัจธรรมระดับอนุตรธรรม

จึงต้องอาศัยพระศาสดาที่พระบิดาส่งมา

บอกกล่าวความจริงระดับสูงสุดนี้แทน

ในพระนาม #พระบุตรเอก

โดยพระบุตรเอกทุกรูปธรรมทุกยุคที่มาจุติ

จะถือเอาช่องทางสื่อสารพิเศษกับพระเจ้า

ติดตัวมาจุติเป็นมนุษย์ด้วย

เพื่อกล่าวทุกสิ่งตามที่พระบิดาทรงเมตตา

 

ดังนั้น

ท่านพิจารณากันเอาเองว่า

ความจริงที่จริงแท้เรื่อง "ธรรมจักรฯ"

จะมีใครรู้เองได้แน่หรือ

 

ลองสังเกตพระพุทธรูป

ที่เป็นตัวแทนพระศาสดาของพวกท่านสิ

บนพระเศียรทำไมจึงมียอดแหลม

ยอดแหลมๆ สื่อถึงอะไร?

เหมือน #เสาอากาศ ติดตั้งอยู่ใช่ไหมล่ะ

เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่ใช่มั้ยละท่าน?

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เธอคนขี้บ่นคนนี้ยังมีเหน็บแนมเราไว้ว่า

พระศาสดาของเธอเป็นเลิศกว่าเรา

เพราะพระองค์มิได้สอนธรรมะ

ด้วยวิธีการอ่านตำราธรรมะภาษาอื่น

แล้วเก็บมาเที่ยวกล่าวสอน

โดยไม่มีปัญญาที่จะรู้เองได้ทำนองนั้น

 

เราบอกท่านทั้งหลายเสมอว่า

ศาสนาทุกศาสนาเป็นสากล

พระศาสดาทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

แต่เธอคนนี้คลั่งศาสนาจนนำพาให้แตกแยก

เพราะเธอบกพร่องในการใช้ปัญญา

จึงต้องเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้ง

 

เราได้อ่านจิตอ่านภาษาของนางแล้ว

ก็พบความจริงได้ว่า

เธอเป็นแกะตัวเมียที่หลงทางกลับเข้าคอก

เธอเดินตามคนนำทางตาบอด

ไปไกลลิบจนสุดสายตาแล้ว

โดยที่เธอเข้าใจว่าตนเองหูหนวกตาบอด

ทั้งๆที่ตาก็ยังดีแต่ดันหลับตาไว้

ทั้งๆที่หูยังดียังมีหูอยู่แต่ไม่รู้ฟัง

 

เธอจึงจำไม่ได้ว่าเราเป็นใคร

เธอจึงไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเรา

เธอจึงจำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณเธอไม่ได้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

4-7-2019