#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
อนุตรธรรมสำคัญ
ในหลักแห่ง
#ธรรมจักร ก็คือ
ทุกดวงจิตวิญญาณที่ได้รับโอกาสมาเกิด
เป็น "คนสองมิติ"
คือ มิติของกายหยาบ
กับมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณ
ซึ่งมีมายารูปลักษณ์เป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น
ตัวท่านเองในแต่ละคน
มีหน้าที่จะต้อง
"คน" ทั้งสองมิติที่ว่านี้
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้
นั่นหมายความว่าท่านทั้งหลาย
จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
ของกายหยาบ
จิตหยาบและจิตวิญญาณ
ให้มันเป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้
หากท่านทำสำเร็จ
เท่ากับว่าท่านได้คนตนเองจนเป็นมนุษย์แล้ว
ดังนั้น
เมื่อได้รับโอกาสมาเกิดเป็นคนบนโลกนี้
ตั้งแต่อายุ
3 ขวบขึ้นไป
พวกท่านทุกคนจักต้องเริ่มเรียนรู้
ที่จะทำการ
"คน" ตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้
แน่นอนว่าเครื่องมือที่จะใช้ในการคน
ต้องประกอบด้วยกลไกอายตนะภายนอก
คือ ตา
หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
กับ จิต
และปัญญาของสมองเป็นสำคัญ
โดยท่านทั้งหลายจะต้องอาศัย
"ตัวช่วย" ด้วย
นั่นคือ
"คนรอบข้าง" ที่รายล้อมรอบๆตัวท่าน
พวกเขาจะรอพบท่านอยู่ทุกหนแห่งที่ท่านไป
เพื่อทำหน้าที่หยิบยื่นเงื่อนไขต่างๆ
ซึ่งเป็นการกระทำทั้งด้านบวกและด้านลบมาให้
โดยท่านจะสัมผัสรู้ดูเห็นเงื่อนไขของพวกเขา
ได้ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้านั่นแหละ
ในอดีตกาล
คนนำทางตาบอดเขาสอนพวกท่านให้
"หนี"
ปลีกตัวเองออกไปจากสังคม
กล่าวหาพวกเขาว่าสร้างความวุ่นวาย
สร้างปัญหาพาให้ท่านจมอยู่ในกองทุกข์
ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงสอนหลักอริยสัจสาม
กับมรรคมีองค์
8 ประการไว้ให้รับมือกับปัญหา
ทุกๆแบบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หมดจด
แต่ก็ยังพยายามจะหนีทุกข์เพื่อละทิ้งหน้าที่
ที่จิตวิญญาณของตนเองจะต้องกระทำอยู่ร่ำไป
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การที่ชาวโลกเสรีรุ่นบุราณนานมา
เขากล่าวกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
หมายความว่าใครจะปลีกวิเวก
พาตัวเองไปโดดเดี่ยวออกจากสังคมไม่ได้
เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์
และต้องช่วยเป็นเงื่อนไขบวกบ้างลบบ้าง
ให้แก่กันและกันตลอดวันและทุกวัน
ในยามตื่นขึ้นมาหรือเมื่อโคจรมาพบหน้ากัน
โดยที่เงื่อนไขที่ท่านยื่นให้คนอื่น
และที่คนอื่นยื่นเงื่อนไขให้ท่าน
เราเรียกมันว่า
"บททดสอบจิตสามนึก"
ซึ่งมีที่มา
2 แบบด้วยกันคือ แบบแรก
เป็นบททดสอบที่จิตวิญญาณของพวกท่าน
ขีดเขียนบทบาทนั้นๆกันมาเองที่ด่านนภาลัย
ซึ่งจิตวิญญาณของพวกท่านต่างก็รู้กันดีอยู่
มีแต่จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ท่านนี่แหละที่ไม่รู้
เพราะถูกปกปิดมิติไว้มิให้ล่วงรู้
เนื่องจากถ้าให้รู้การทดสอบนั้นก็จะเป็นโมฆะ
ถ้าแผนการทดสอบเป็นโมฆะ
นั่นเท่ากับว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ล้มเหลว
เราเรียกบททดสอบแบบแรก
ซึ่งจิตวิญญาณพวกท่าน
ประชุมวางแผนเลือกบทบาทกันมาแสดง
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ว่า
#บทละครชีวิต หรือ
ชะตาชีวิต
ส่วนเงื่อนไขทดสอบจิตสามนึก
แบบที่ 2
เป็นบททดสอบที่มิได้วางแผนมาก่อน
แต่ทุกท่านต้องมาเผชิญกันเองแสดงเอง
ส่วนมากจะเป็นบุคคลที่มิได้วางแผนว่า
จะมาเกิดเป็นวงศาคณาญาติกัน
หรือวางแผนว่าจะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน
โดยต่างคนเป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่ง
ที่ดำรงอยู่ในสังคมเล็กใหญ่ร่วมกันเท่านั้น
บททดสอบแบบที่สองนี้
เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากการกระทำ
ทั้งด้านบวกด้านลบดีๆชั่วๆมั่วๆกันไป
ซึ่งเกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวของพวกท่าน
ที่ผิดแผกแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
ทั้งนิสัยการดำเนินชีวิตและนิสัยการทำงาน
พฤตินิสัยที่แตกต่างกันในแต่ละคน
ก็จะกลายเป็นเงื่อนไขของกันและกันได้
ถ้ากระทำต่อกันแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับ
หรือสร้างความไม่พอใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
คำว่า "ธรรมจักร"
ในประการแรก
จึงหมายถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์
ด้วยการที่ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะ
ทำงานร่วมกันกับจิตและสมองให้ได้
ใช้มันให้เป็น
และใช้มันอย่างถูกต้องนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
ถ้าท่าน
"เห็น" ปลาแล้วนึกถึงอาหาร
นี่มิใช่การคนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพราะท่านยังใช้จิตฝ่ายต่ำ
แสดงความ
#ตะกละ และคิดชั่วต่อปลาอยู่
พฤตินิสัยแบบนี้
คือ การ "หมุนกรรมจักร"
แต่ถ้าท่านมองเห็นปลาตัวเดิม
แล้วท่านพบว่า
"ปลาน่ารักน่าเอ็นดู"
นี่ท่านก็จะเป็นผู้มีจิตใจสูงส่งแล้ว
เพราะสั่นสะเทือนเป็นความรักและเมตตาได้
ปลาตัวนั้นก็จะไม่ถูกฆ่าตาย
และถ้าท่านจะใช้ปัญญาค้นหาธรรมะจากปลา
ด้วยสมองซีกขวาคือปัญญาญาณที่ท่านมีอยู่
ท่านก็จะพบสัจธรรมซึ่งพระบิดาหรือพระผู้สร้าง
ทรงฝากแฝงเอาไว้กับปลา
เพื่อทรงเจตนาจะสั่งสอนธรรมะแก่ท่านได้ด้วย
พฤตินิสัยแบบที่สองนี้แหละ
คือ การ
"หมุนธรรมจักร"
อีกตัวอย่างหนึ่ง
เช่น
ถ้าท่านได้ยินมาว่ามีคนนินทาว่าร้ายท่าน
ท่านก็เกิดความรู้สึกโกรธเคืองขุ่นใจทันที
นี่ท่านก็
"สอบตก" เพราะขาดสติแล้ว
มันจึงเป็นการคนตนเองอย่างล้มเหลวอยู่
เพราะยังเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงไม่ได้
พฤตินิสัยแบบนี้
คือ การ "หมุนกรรมจักร"
แต่ถ้าท่านรู้มาว่ามีใครบางคน
นินทาว่าร้ายท่านให้เสียหายมากมาย
แต่ท่านสามารถอดทน
อดกลั้น ให้อภัย
แก่ผู้ที่ก้าวล่วงท่านด้วยวาจาได้
ไม่มีจิตตก
ไม่หวั่นไหว
แต่มีจิตใจอันสุขสงบได้อย่างมั่นคง
พฤตินิสัยแบบนี้นี่แหละ
คือ "หมุนธรรมจักร"
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ภารกิจหลักหนึ่งในหกอย่าง
ที่จิตวิญญาณของท่านต้องรับผิดชอบ
และต้องทำให้สำเร็จก็คือ
การ "คน"
ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
โดยอาศัยพี่ๆน้องๆร่วมโลก
ช่วยสร้างเงื่อนไขให้
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับ
#ธรรมจักร นั่นเอง
ดังนั้น
เหตุที่บวชนานปฏิบัติธรรมมานาน
แต่นิพพานไม่สุดเลยหลุดพ้นกันไม่ได้
ก็เพราะเชื่อแต่ผู้นำทางตาบอด
ที่พยายามจะพาท่านตายไปให้พ้นจากโลก
เพราะเชื่อผิดๆว่าพ้นโลกได้ก็พ้นทุกข์
โดยเน้นเขียนภาพให้เกลียดกลัวความทุกข์
ทั้งๆที่พระพุทธองค์ผู้ประเสริฐนั้น
ได้ทรงมอบอริยสัจกับอริยมรรคเอาไว้ให้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านที่เป็นฆราวาสซึ่งตนเองมีสังคมอยู่
ต้องพยายามแสดงบทบาทสัตว์สังคมให้ดี
ด้วยการรักทุกคนให้ได้แม้ใครจะไม่น่ารัก
ให้อภัยเขาให้เป็นแม้เขาจะทำตัวไม่น่าให้อภัย
แม้จะช่วยอะไรใครเขาไม่ได้
ถ้าพบเห็นความทุกข์ของใครซึ่งหน้า
ท่านก็จักต้องมีเมตตาสงสารเขาคนนั้นให้ได้
แทนที่จะวางเฉย
หรือ สมน้ำหน้า
ที่เรากล่าวมานี้
มันคือการคนตนเองให้เป็นมนุษย์
มนุษย์คือผู้ที่มีจิตใสใจสวยยิ่งๆขึ้นไป
และวิธีการคนของท่าน
มันคือการหมุนธรรมจักรในตนเองโดยแท้
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-07-2019