17 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ในตอนที่ผ่านมานั้น

เราได้กล่าวเอาไว้ว่า #คนนำทาง ตาบอด

ที่ท่านทั้งหลายก้าวตามกันมานาน

นับได้หลายภพชาติที่ผ่านมาจนทุกวันนี้นั้น

ขาดความพร้อมและขาดคุณสมบัติสำคัญ

แห่งการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของท่าน

 

รวมทั้งสิ้น 4 ประการแล้ว คือ

1. เพราะพวกเขามิใช่ผู้ที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

2. เพราะพวกเขากำลังเดินทางไปผิดที่ผิดทิศ

3. เพราะพวกเขาไม่เคยไปในที่ๆท่านจะไป

4. เพราะพวกเขาขาดพร่องใน “อนุตรธรรม”

 

สำหรับความไม่เหมาะสมในประการถัดมา

ที่นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

เช่นฆราวาสผู้ฉลาดทั้งหลาย

จะหลับหูหลับตาก้าวตามเขา

ต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็คือ

 

5. เพราะคนนำทางตาบอดเหล่านี้

เข้าใจผิดในพระธรรมคำสอนของพระศาสดา

โดยหลงประเด็นในแก่นสัจธรรมที่ทรงสอนไว้

จึงทำให้เกิด “ความเชื่อ” ที่ผิดพลาด

จนนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องและขาดพร่อง

เพราะความหลงผิดเข้าใจผิดโดยแท้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ประเด็นพระธรรมคำสอน

ที่พวกเขาเข้าใจผิด

จนทำให้เกิดการหลงทางหลงธรรม

มีอยู่หลายประเด็นมากทีเดียว

โอกาสต่อๆไปเมื่อได้เวลาอันเหมาะควร

เราจะค่อยๆนำมาสาธยาย

ให้ท่านทั้งหลายได้รู้กัน

 

แต่สำหรับครั้งนี้

เราจะชี้ให้เห็นตัวอย่างในบางประเด็น

ที่ยังผลให้พระบิดาทรงชี้ว่าพวกเขาเหล่านั้น

เป็นคนนำทางตาบอดของท่านดังนี้ คือ

 

1. เพราะพวกเขาเข้าใจผิดคิดว่า

พระศาสดาทรงสอนให้ปฏิเสธความทุกข์

ทรงสอนให้เกลียดกลัวความทุกข์

ทรงสอนให้หลีกหนีความทุกข์

 

โดยยึดเอาการหนีออกจากวังในวัยเยาว์

ของพระศาสดาของตนมาเป็นข้ออ้าง

อย่างไร้สติและขาดปัญญาพิจารณา

โดยสรุปกันเอาเองดื้อๆว่า

พระองค์ก็ทรงปลีกตัวหนีทุกข์ให้เห็น

 

พวกเขาจึงนำพาตัวเอง

ปลีกวิเวกออกไปจากสังคม

ตามอย่างเจ้าชายพระองค์นั้นบ้าง

 

โดยอ้างว่า

เป็นการเอาอย่างพระศาสดาประการหนึ่ง

กับอีกประการหนึ่งก็เพราะเข้าใจว่า

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนนั้น

ล้วนมีสาเหตุมาจากคนรอบข้าง

เป็นผู้สร้างปัญหาแล้วยื่นทุกข์มาให้ทั้งสิ้น

จึงเชื่อว่าถ้าตน “ปลีกวิเวก” ออกจากสังคม

ไปใช้ชีวิตคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

ก็สามารถจะออกจากกองทุกข์ทั้งปวงได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เพราะพวกเขาลืมคิดถึงหลักความจริงที่ว่า

ในครั้งกระนั้นเจ้าชายพระองค์หนึ่ง

ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่เลย

ยังทรงอ่อนต่อโลกและยังอยู่ในวัยเรียน

เมื่อทรงรู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อมในรั้ววัง

จนนำพาความทุกข์ใจมาให้ทุกวันยันเช้าค่ำ

พระองค์ก็ยังทรงคิดได้ในขณะนั้นว่า

 

ถ้าทรงเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอันน่าเบื่อไม่ได้

เพราะไม่มีพลังอำนาจพอที่จะจัดการได้

ก็มีทางเลือกเดียวที่พระองค์จะทำได้

นั่นคือการนำพาตนเองออกไปจากตรงนั้นเสีย

เรื่องอื่นๆค่อยมาว่ากันทีหลัง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

การหนีออกจากบ้านจากเมืองของพระองค์

มันจึงเป็นปกติวิสัยของคนธรรมดาทั่วๆไป

ที่ใครๆเขาก็ต้องทำกันแบบนี้ทั้งสิ้น

นั่นคือ ถ้าเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมไม่ได้

ก็ต้องเลือกที่จะพาตนเอง

ออกไปจากตรงนั้นก่อน

ออกไปตั้งหลักตั้งสติก่อน

แล้วค่อยๆใช้สติปัญญาขบคิดว่า

ทุกข์ที่ตนทนไม่ได้หรือทนได้ยากนั้น

ตนจะจัดการกับความทุกข์นั้นอย่างไร

หรือจะจัดการกับปัญหานั้นได้อย่างไร

 

หลังจากที่พระองค์ออกจากรั้ววังไม่นาน

เมื่อทรงตั้งหลักตั้งสติได้ดีแล้ว

พระองค์ก็ทรงค้นพบความจริงว่า

ความทุกข์ทั้งหลายล้วนเกิดจาก “ปัญหา”

 

โดยก่อนที่พระองค์จะทรงหนีออกจากวัง

เมื่อครั้งที่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น

พระองค์ทรงมองเห็นได้เพียงแค่ว่า

ตัว #ทุกข์ คือ ตัวปัญหาใหญ่ในชีวิต

แต่เมื่อทรงตั้งหลักปักสติได้ในมิช้านาน

พระองค์ก็ทรงพบว่าแท้จริงแล้วนั้น

ความทุกข์ใจมันมิใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย

เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์” ต่างหากคือปัญหา

 

แผนที่การคิดพิจารณาของพระองค์

ก็เป็นดั่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้แหละ

ซึ่งเป็นที่มาของการค้นพบสัจธรรมข้อแรก

ที่คนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ถือว่าเป็นธรรมะข้อใหญ่ คือ “อริยสัจ 4”

อันประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 

ซึ่งหลักแห่งอริยสัจ 4 ที่ว่านี้

คือหลักปฏิบัติเมื่อเผชิญปัญหาใดๆในชีวิต

เพื่อจัดการแก้ไขปัญหานั้นๆให้ลุล่วง

เมื่อจัดการกับปัญหานั้นๆได้เบ็ดเสร็จแล้ว

ความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในจิตใจย่อมไม่มี

 

ดังนั้น

หลักแห่งอริยสัจ 4

จึงเป็นยุทธวิธีรับมือ

กับปัญหาชีวิตในทุกรูปแบบ

ที่จะสามารถพาให้ท่านพ้นทุกข์ได้เสมอ

โดยไม่ต้องดิ้นรนที่จะหนีทุกข์กันต่อไปอีก

 

เมื่อพระองค์ทรงเข้าถึงความจริงข้อนี้ได้

ความทุกข์จึงไม่น่ากลัวอีกต่อไป

ที่กล่าวว่าไม่น่ากลัวก็เพราะว่า

หลักแห่งอริยสัจ 4 ที่ทรงค้นพบนั้น

สามารถใช้จัดการได้กับทุกปัญหา

มิให้นำพาความทุกข์มาสู่จิตใจตนได้อีก

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

พระศาสดาทรงพระปรีชาญาณสูงส่งยิ่ง

เมื่อทรงเรียนรู้จนค้นพบความจริงนี้แล้ว

ใยจะต้องรังเกียจทุกข์ ปฏิเสธทุกข์ หนีทุกข์

เหมือนกับตอนแรกที่ทรงหนีจากวังอีกล่ะ

 

เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

คนนำทางเหล่านี้ “ตาบอด”

เพราะพวกเขาไปยึดเอาพฤติกรรมเจ้าชาย

ตั้งแต่วัยเยาว์ที่ยังต้องการเวลาเพื่อการเรียนรู้

ที่ยังต้องการเวลาเพื่อสร้างวุฒิภาวะแบบผู้ใหญ่

ที่ยังต้องการบรรลุนิติภาวะแบบมนุษย์ทั่วไปอยู่

จึงทรงตัดสินพระทัย “หนีทุกข์” ออกจากวัง

 

เมื่อความจริงที่จริงแท้มันเป็นเช่นนี้แล้ว

คนนำทางตาบอดจะเลือกเอาประเด็นที่ว่านี้

มายึดถือเป็นแบบปฏิบัติกันคือ “หนีทุกข์”

ด้วยการปลีกวิเวกออกจากสังคม

โดยจะอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างไม่ได้

 

ส่วนการยอมรับเอาอริยสัจ 4 ที่ทรงค้นคิดได้

มาเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตนั้นชอบแล้ว

เราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

 

เราจึงขอย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อมีเครื่องมือจัดการกับความทุกข์

ที่เรียกว่า “อริยสัจ 4” เป็นอาวุธประจำตัวแล้ว

แถมยังมี “มรรค 8” ที่ทรงแนะเน้นไว้ให้

เพื่อใช้เป็นคู่มือการดำเนินชีวิตอย่างฉลาด

เพื่ออยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาได้ด้วย

แล้วยังจะต้องปลีกหนีสังคมกันอีกทำไม

 

2. พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่า

พระศาสดาทรงสอนให้ปฏิเสธการมีสังสารวัฏ

โดยถือเอาประโยคที่ทรงกล่าวว่า

เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง”

มาสนับสนุนความคิดความเชื่อของตน

 

เมื่อพวกเขาเชื่ออย่างนี้ เข้าใจผิดเช่นนี้

ก็ยิ่งทำให้พวกเขาหลงทางไปไกลแสนไกล

โดยต่อยอดการหลงผิดจากการคิดหนีทุกข์

ด้วยการปลีกวิเวกครองสันโดด

 

ละทิ้งสังคมมาตั้งแต่ต้น

คราวนี้เพิ่มเติมเป็นหาหนทางตายแล้วไม่เกิดอีก

เพราะเข้าใจว่าการมาเกิดมีภพชาติในระบบโลก

เป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น

 

ถ้าตายแล้วหายสาปสูญไปจากโลกนี้ได้

พวกเขาก็เชื่อกันเองว่าจะ “ดับทุกข์” ได้หมดสิ้น

 

พวกเขาจึงพร่ำสอนตนเองและคนที่ก้าวตามว่า

ถ้าดับการเกิดดับของสังสารวัฏได้

ที่เรียกว่า “นิพพาน” นั่นแหละจักสิ้นทุกข์

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

พวกเขาจึงเพียรพยายามหาหนทาง

ที่จะหยุดยั้งการเวียนว่ายตายเกิดให้จงได้

โดยพวกเขาเชื่อว่าถ้าจะสำเร็จได้

จักต้องถือศีลปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน

ทำบุญสุนทานแผ่เมตตาภาวนาและสวดมนต์

ซึ่งภาพรวมก็คือพยายาม “ไม่ก่อกรรมใหม่”

ด้วยการฝึกสติ เน้นปิดอายตนะ ยกระดับปัญญา

สำรวมกาย วาจา และจิตใจ อย่างเคร่งครัด

 

เพราะพวกเขารู้ดีว่า

มนุษย์โลกทุกคน “ล้วนมีกรรมเป็นกำเนิด”

ถ้าหยุดสร้างกรรมใหม่ได้ก็ย่อมหยุดการเกิดได้

มรรควิถีแห่งนิพพานของพวกเขา

จึงเน้นการปฏิบัติตามที่เรากล่าวมานั้นเป็นสำคัญ

โดยพวกเขาลืมไปว่าการมาเกิดในชาตินี้นั้น

จิตวิญญาณของเขาก็มีกรรมเก่าเป็นกำเนิด

แปลว่าจิตวิญญาณยังมีกรรมเก่าติดตัวอยู่ด้วย

 

ดังนั้น

แม้ว่าพวกเขาจะหยุดสร้างกรรมใหม่ได้

แต่กรรมเก่าที่ถือติดตัวมาเกิดด้วยนั้นก็จะยังอยู่

ภารกิจทางจิตวิญญาณในการชำระกรรมเก่า

จึงยังคงเป็นภาระที่เขาจักต้องแบกอยู่ต่อไป

จนกว่าจะทำให้กรรมนั้นเป็นโมฆะกรรมทั้งหมด

แปลว่าแม้ตายแล้วจิตวิญญาณก็จะไปไหนไม่ได้

ต้องดำรงอยู่ในเอกภพหรืออนันตจักรวาลนี้ต่อไป

 

ผลปรากฏว่า

แม้จะสามารถ “หยุด” การก่อกรรมใหม่ได้

ไม่มีกรรมใหม่ใดๆให้ต้องกำเนิดใหม่อีกก็ตาม

แต่จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเขา

หายไปจากระบบโลกได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

 

เพราะวิธีการปฏิบัติตามความเชื่อของพวกเขา

มันทำได้เพียงสร้างทางเบี่ยงออกไปจากโลก

โดยนำพาจิตวิญญาณของตนไปสู่สวรรค์มายา

ในสภาวะของการ “หลุดลอย” ชั่วคราว

จากการหลงผิดเข้าใจผิดเท่านั้นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดในประเด็นที่สองนี้

คือการ “คิดผิด” ของคนนำทางตาบอด

จนเชื่อว่าถ้าสามารถทำให้ตนเองเมื่อตาย

แล้วหายสาปสูญไปจากโลกเสรีนี้ได้

มันคือการช่วยให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ตามต้องการ

ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายแล้วไปไหน

ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่ามันตอบโจทย์

คือพ้นทุกข์ได้ตามต้องการจริงหรือเปล่า

 

นอกจากนั้น

คนเหล่านี้ก็ยัง “เข้าใจผิด”

มุมคิดของพระศาสดาของตนอีกด้วย

ในประเด็นที่อ้างว่าพระองค์ทรงปฏิเสธ

การเวียนว่ายตายเกิดเพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์

โดยมิได้ฉุกคิดสักนิดว่า

ในเมื่อพระองค์ทรงค้นพบ “อริยสัจ 4”

ที่สามารถจัดการความทุกข์ได้แล้ว

จะทรงปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดอีกทำไม

 

การที่ทรงกล่าวว่า

การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งนั้น

พระองค์ทรงหมายความว่า

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

ภารกิจหลักของแต่ละคนที่จะต้องทำก็คือ

#หมั่นทำความดีละเว้นความชั่ว

 

การทำความดีก็คือ

การมีความรักและเมตตาต่อผู้อื่น

ซึ่งมันจะช่วยสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม

และยังช่วยค้ำจุนความสมดุลให้โลกอีกด้วย

 

ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า

กว่ามนุษย์แต่ละคนจะยกระดับจิตปัญญา

จนสามารถเข้าถึงหน้าที่ดังกล่าวของตนได้

ในภพชาติแห่งการเกิดใหม่นั้นมิใช่เรื่องง่าย

เพราะทุกท่านจะถูกปิดมิติทางปัญญาไว้

ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้น

 

มนุษย์แต่ละคน

กว่าจะเรียนรู้ให้อยู่กับทุกข์ก็สุขได้

กว่าจะเรียนรู้ที่จะรักและเมตตาได้

กว่าจะเรียนรู้ที่จะวางจิตเป็นอุเบกขาได้

กว่าจะเรียนรู้ที่จะเข้าถึงหลักแห่งอริยสัจสี่ได้

จำต้องผ่านบทเรียนและบททดสอบ

มากมายหลายหลากทั้งยากง่าย

กรณีไหนทนได้ยากกรณีนั้นก็ทุกข์

 

พระองค์จึงทรงเตือนสติสาวกทั้งหลายว่า

เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว

จงอย่าเกียจคร้านหรือเหลวไหล

จงใช้โอกาสที่ได้มาเกิดในภพชาตินั้นให้คุ้ม

โดยทำตนให้คุ้มค่ากับกาลเวลาที่ผ่านไป

อย่าให้เสียชาติเกิดโดยเด็ดขาด

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

เป็นความคิดผิดเห็นผิดของคนนำทางตาบอด

และเป็นความเข้าใจ “ครู” ของตนผิดอีกด้วย

ถ้าท่านทั้งหลายยังหลับตาก้าวตามกันอยู่

ก็ย่อมรู้คำตอบล่วงหน้าได้ว่า

จะต้องพากันหลงทางอยู่อย่างเดิม

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

17-7-2019