16 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 16/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะขอกล่าวความจริง

เรื่อง #คนนำทางตาบอด ต่อท่านอีกว่า

 

ในตอนที่ผ่านมานั้น

เราได้กล่าวเอาไว้ว่า #คนนำทาง ตาบอด

ที่ท่านทั้งหลายก้าวตามกันมานาน

นับได้หลายภพชาติที่ผ่านมาจนทุกวันนี้นั้น

ขาดความพร้อมและขาดคุณสมบัติสำคัญ

แห่งการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของท่าน

 

รวมทั้งสิ้น 3 ประการ คือ

1. เพราะพวกเขามิใช่ผู้ที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

2. เพราะพวกเขากำลังเดินทางไปผิดที่ผิดทิศ

3. เพราะพวกเขาไม่เคยไปในที่ๆท่านจะไป

 

สำหรับความไม่เหมาะสม

ที่นักสู้เพื่อการรู้แจ้งเช่นฆราวาสผู้ฉลาดเฉลียว

จะหลับหูหลับตาก้าวเดินตามต่อไปอีกมีดังนี้

 

4. เพราะคนนำทางตาบอดเหล่านี้

 

เขาเรียนรู้สัจธรรมแห่งจักรวาลเพียง 2 ระดับ

คือ โลกิยธรรม กับ โลกุตรธรรม เท่านั้น

โดยพวกเขาไม่รู้ว่าต้องเรียนรู้สัจธรรมชั้นสูง

ในระดับ #อนุตรธรรม อีกด้วย

 

สาเหตุที่พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ก็เพราะว่า

พวกเขานี่แหละที่พากันเสี้ยมสอนสืบต่อกันมาว่า

ให้ยอมรับนับถือศรัทธา “พระศาสดา” องค์เดียว

แล้วให้ปฏิเสธพระศาสดาพระองค์อื่นๆทั้งหมด

 

จักต้องเชื่อและยึดถือ “คัมภีร์” เพียงเล่มเดียว

แล้วให้ปฏิเสธคัมภีร์เล่มอื่นๆทั้งหมด

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เพราะพวกเขามีนิสัยแบ่งแยกศาสดา

ปรารถนาจะมีครูเพียงคนเดียว

และยึดติดกับคัมภีร์แค่เพียงเล่มเดียว

พวกเขาจึงขาดพร่องในองค์แห่งสัจธรรม

เมื่อพวกเขายังเป็นผู้ขาดพร่องเช่นว่านี้แล้ว

พวกเขาจึงเป็นคนนำทางตาบอด

เมื่อพวกเขาเองก็ตาบอดเช่นนี้แล้ว

จะนำพาคนตาบอดจำนวนมาก

บนโลกเสรีนี้ก้าวไปให้ถูกทิศถูกทางได้อย่างไร

 

เนื่องจากพระศาสดาทั้งหลาย

สามารถแบ่งตามที่มาได้ 2 ประเภท คือ

 

1. เป็นศาสดาผู้มาจากโลกเสรีเอง

เพราะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เพราะมีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต

เพราะมีวิธีคิดวิธีปฏิบัติแตกต่างจากคนทั่วไป

เพราะมีศีลาจริยาวัตรแลดูน่าเลื่อมใส

จนพี่ๆน้องๆมากมายพากันเชื่อถือศรัทธา

จึงพากันหลับตาก้าวเดินตามอย่างว่าง่าย

 

โดยที่ท่านทั้งหลายมิได้ระแวงสงสัยเลยว่า

ทำไมวิธีปฏิบัติบางอย่างฆราวาสทำตามไม่ได้

ทำไมวิธีปฏิบัติบางอย่างสีกาทำตามไม่ได้

ทำไมวิธีปฏิบัติบางอย่างมันฝืนธรรมชาติ

ซึ่งความไม่เหมาะสมไม่ลงตัวที่เรากล่าวมานี้

มันขัดต่อคำว่า “ธรรมะคือธรรมชาติ” ชัดเจนยิ่ง

 

แม้ว่าพระศาสดาผู้มาจากโลกเอง

ทรงมีพระปรีชาญาณในการใช้สมองสองซีก

เรียนรู้และเข้าถึงสัจธรรมทั้ง 2 ระดับ คือ

โลกิยธรรมและโลกุตรธรรมได้เป็นเลิศ

แต่ด้วยข้อจำกัดของ “สมอง”

ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้

ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ทุกคน

จึงมิอาจเข้าถึงสัจธรรมระดับอนุตรธรรมได้

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ถ้าคนนำทางตาบอดยึดติดพระศาสดาแค่องค์เดียว

และยึดติดพระคัมภีร์เพียงเล่มเดียวตามที่กล่าวมา

พวกเขาเหล่านี้ก็ย่อมขาดพร่องในองค์อนุตรธรรม

ที่มนุษย์โลกเสรีทุกคนทุกชนชาติทุกศาสนา

จักต้องเข้าถึงการรู้จริงรู้แจ้งให้ได้โดยปริยายทันที

เพราะว่า “ครู” ของพวกเขามิได้สอนไว้

เพราะว่าสัจธรรมระดับอนุตรธรรมที่ว่านี้

เป็นหนึ่งในใบไม้นอกกำมือพระศาสดา

ที่ทรงกล่าวให้สติพวกเขาเอาไว้แล้วนั่นแหละ

 

2. เป็นศาสดาผู้มาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

หรือ เป็นศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้มา

ทำหน้าที่เติมเต็มสัจธรรมระดับอนุตรธรรม

ที่มนุษย์แห่งโลกเสรีทุกคนจะต้องรู้

ซึ่งพระศาสดาที่เกิดแต่โลกเองมิอาจเข้าถึงได้

พระบิดาทรงเรียกขานพระศาสดา

ที่มาจากพระองค์ว่า #พระบุตรเอก

 

พระบุตรเอก

จึงเป็นพระศาสดาที่มนุษย์โลกจะปฏิเสธมิได้

เพราะพระองค์เข้ามาจุติเป็นมนุษย์

พร้อมกับถือเครื่องมือสื่อสารกับพระเจ้ามาด้วย

เพื่อปฏิบัติการสื่อสารกับพระองค์

ในอันที่จะสื่อถ่ายทอด “อนุตรธรรม”

ที่มีเพียงพระผู้สร้างหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้

 

โดยสื่อลงมาเพื่อให้พี่ๆน้องๆทั้งโลกเสรีได้รับรู้

เพราะถ้าใครไม่รู้ก็จะเป็นมนุษย์ไม่ได้

เมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก็ล้มเหลวจึงเสียชาติเกิด

โดยตัวชี้วัดความล้มเหลวของพวกเขาก็คือ

 

#ประการแรก

การ “หลงผิด” เพราะไปติดทุกข์ติดสุขเข้า

จนพยายามจะหนีทุกข์ ดับทุกข์ ให้พ้นทุกข์

โดยมองว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์คือทุกข์อย่างยิ่ง

นี่ก็นับว่าหลงผิดอย่างแรง

 

ที่หลงผิดเช่นนี้ก็เพราะว่ายึดครูคนเดียว

จึงขาดพร่องสัจธรรมระดับอนุตรธรรม

ที่พระบุตรเอกสื่อมาให้ในภาคส่วนที่เกี่ยวกับ

ชาติกำเนิดทางจิตวิญญาณของพวกท่านเอง

เช่น จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร

มาจากไหน ใครเป็นผู้ให้กำเนิด

ใครอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์

มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง เป็นต้น

 

การหลงทุกข์ หลงทาง

มันเริ่มมาจากขาดพร่องตรงนี้แหละท่าน

 

#ประการที่สอง

การ “หลงธรรม” เพราะเข้าใจเอาเองว่า

ถ้าสามารถดับสังสารวัฏโดยไม่มาเกิดใหม่ได้

สามารถทำให้ตนเองหายไปจากโลกเสรีนี้ได้

โดยไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเลยได้

ก็เชื่อว่าตนเอง “พ้นทุกข์” เรียบร้อยแล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความคิดเข้าใจเช่นว่านี้มันมิใช่สัจธรรมที่แท้จริง

แต่มันเป็นความเชื่อที่เกิดจาก “อุปาทาน”

คือ เชื่อในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือเชื่อผิดๆ

เพราะการคิดผิดเข้าใจผิดของตนเองโดยแท้

 

ทั้งๆที่ความจริงก็คือ

จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะต้องเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

โดยต้องมาใช้ความรักบริสุทธิ์จากจิตมนุษย์

ที่พระศาสดาของพวกท่านก็เคยชี้ไว้ให้แล้ว

นั่นคือ มาเกิดเพื่อใช้ “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

 

ความรักบริสุทธิ์ของมนุษย์

จักต้องขับเคลื่อนออกมาจากจิตวิญญาณ

ผ่านการสั่นสะเทือนของจิตหยาบด้านบวก

เพราะมันจะอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้า

ที่เป็น “พลังจิตด้านบวก” นั่นเอง

 

คลื่นพลังงานด้านบวกอันเกิดจากความรัก

ที่จิตวิญญาณจะสามารถส่งผ่านจิตหยาบออกมาได้

มันจะต้องถูกกระตุ้นด้วยเงื่อนไขจากคนรอบข้าง

และกระตุ้นจากจิตภายในของท่านเองเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้เอง

คนรอบข้างของท่านบางครั้งก็ดี บางทีก็ร้าย

ทั้งบทดีหรือบทร้ายมันก็คือ “เงื่อนไข”

ที่พวกเขาจะช่วยให้ท่านสั่นสะเทือนจิตสามนึก

ผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกออกมาให้ได้

เพื่อมอบพลังจิตด้านบวกให้แก่โลกเสรีนี้

นำไปใช้เป็นพลังในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

และอื่นๆอีกมากมาย

 

เพราะคนนำทางตาบอดพวกนี้

เขาไม่รู้อนุตรธรรมที่เรากล่าวมานี้

พวกเขาจึงมองว่าชีวิตมีปัญหา โลกมีปัญหา

สังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

เขาจึงพยายามปลีกตัวเองออกจากสังคม

พยายามหนีทุกข์เพื่อจะมีความสุขคนเดียว

หรือพยายามจะไปสวรรค์คนเดียว

ทั้งๆที่ในทางปฏิบัติจริงความวิเวกก็ไม่มีจริง

เพราะถึงอย่างไรก็จะทิ้งขาดจากสังคมไม่ได้

 

เพราะขาดพร่องในอนุตรธรรม

จึงพยายามจะทำให้ตนเองตายไปจากโลก

แล้วหายไปจากโลกเสรีนี้โดยไม่กลับมาอีก

ซึ่งการหลงธรรมในข้อนี้มิได้เกิดผลดีอันใดเลย

 

นอกจากจะมีข้อดีก็คือ

พวกเขาไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มเพราะมีศีลช่วย

แต่กรรมเก่าที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิดในชาตินี้

เพื่อเรียนรู้ เพื่อแก้ไข เพื่อทำให้เป็นโมฆกรรม

กลับถูกเพิกเฉยมิได้ใส่ใจ

 

เมื่อตายไปในชาตินี้แล้วจิตวิญญาณก็ยังทุกข์อยู่

เพราะตายแล้วจิตวิญญาณทำได้แค่ “หลุดลอย”

ลอยไปติดค้างอยู่บนที่สูงซึ่งเป็นภพภูมิมายา

แม้ว่าจะอยู่เหนือกว่าภพภูมิมนุษย์โลก

แต่ก็มิใช่สถานที่ๆสมควรจะไป

เพราะที่นั่นมันก็ยังมีทุกข์อยู่เหมือนเดิม

เพราะที่บนนั้นมันยังมีขันธ์ห้าอยู่เช่นเดิม

ที่ทุกข์เพราะไม่รู้จะไปไหนต่อ

 

#ประการที่สาม

การ “หลงทาง” เพราะไม่รู้ความจริงว่า

การนำพาจิตวิญญาณผ่านไปทางนั้น

มันเป็นแค่สวรรค์มายา

ไม่สามารถพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้

เพียงแค่สร้างทางเบี่ยงให้จิตวิญญาณ

เมื่อตายแล้ว “หลุดลอย” ไปแขวนอยู่เท่านั้น

ซึ่งมันคือการหลงทางนั่นแหละท่าน

 

พี่ๆน้องๆถามเหล่านี้

ท่านทั้งหลายคงพอจะมีคำตอบได้บ้างแล้ว

 

ทุกวันนี้พวกท่านกำลังอยู่บนทาง 4 แพร่ง

การปฏิบัติตนของท่านคือการตัดสินพิพากษาว่า

ท่านจะเลือกเดินไปในทิศทางไหนในสี่แพร่งนี้

 

หนึ่ง หลุดพ้น

สอง หลุดหล่น

สาม หลุดลอย

สี่ หลุดลง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

16-7-2019