15 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะขอกล่าวความจริง

เรื่อง #คนนำทางตาบอด ต่อท่านอีกว่า

 

การที่คนตาบอดเช่นเดียวกับท่าน

เขาสามารถสวมบทบาทคนนำทางได้

ก็เพราะว่าตัวท่านนั่นแหละ

เป็นผู้ "ยอม" เดินตามหลังเขาเอง

 

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

คนที่จะสวมบทบาทเป็นผู้นำได้นั้น

จักต้องมีคนยินยอมก้าวตาม

แต่ถ้าไม่มีใครยอมก้าวเดินตาม

คนๆนั้นก็จะถูกเรียกว่าผู้นำไม่ได้

 

ในตอนที่แล้ว

เราตั้งคำถามเพื่อให้ท่าน "ฉุกคิด" เอาไว้ว่า

"คนนำทางตาบอด" จะเป็นคนนำทาง

คนที่ตาบอดเช่นท่านได้แน่หรือ

เพราะว่าตามองไม่เห็นทั้งคู่ บอดทั้งคู่

จะพากันย่างเดินไปไหนได้

 

#คนนำทาง ตาบอด

ที่ท่านทั้งหลายก้าวตามกันมานานแล้ว

หลายภพชาติที่ผ่านมาจนทุกวันนี้

ทั้งคนนำทางและคนก้าวตาม

ก็ยังก้าวไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางกันสักที

เพราะว่าคนนำทางทั้งหลายเหล่านี้

ขาดความพร้อมและขาดคุณสมบัติสำคัญ

แห่งการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

 

เหตุผลเบื้องต้น

ที่พระบิดาทรงจัดให้ผู้คนเหล่านี้

เป็น "คนนำทางตาบอด" ก็เพราะว่า

 

1. พระองค์มิได้ทรง "แต่งตั้ง" ให้พวกเขา

เกิดมาเพื่อเป็น "คนนำทาง" ของพวกท่าน

พวกเขาเป็นแค่เพียงพี่ๆน้องๆของท่าน

ที่เลือกเส้นทาง #นักรบแห่งแสงสว่าง

ค่อยๆสร้างตนเองจาก "คน" ให้เป็น "มนุษย์"

เพื่อบรรลุภารกิจทางจิตวิญญาณให้จงได้

ภายในกำหนดเวลา 6 หมื่นปีโลกคือหนึ่งยุค

 

เพราะพวกเขามีรูปแบบการประพฤติปฏิบัติ

รวมทั้งบริบทการดำเนินชีวิตแบบสันโดด

จึงครองสมถะและพอใจกับการปลีกวิเวก

วันๆจึง "อยู่ดินกินง่าย" ให้อาหารกายวันละมื้อ

มุ่งถือศีลครองธรรมเน้นนั่งกรรมฐานสมาธิ

ดำริชอบ ทำความเพียรชอบ ประพฤติชอบ

หล่อเลี้ยงจิตใจไว้ด้วยสติและแผ่เมตตา

 

ซึ่งภาพมายาเชิงประจักษ์

ในพฤติกรรมของพวกเขาทั้งหลายที่กล่าวมา

ล้วนแลดูแล้วเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา

จนพาให้เชื่อมั่นเกินกว่าร้อยว่า

ถ้าทำตามก้าวตามพวกเขาไปติดๆแล้ว

จักต้องนำพาตัวตนแก่นแท้ของพวกท่าน

พิชิตเป้าหมายที่ท่านต้องการได้แน่ๆ

แม้ท่านเองจะยังไม่รู้ว่าที่นั่นมันคือที่ไหน

 

ดังนั้น

เป็นท่านนี่แหละที่ยอมก้าวตามพวกเขา่เอง

เพราะ #ศรัทธา ในรูปแบบการดำเนินชีวิต

และบริบทการปฏิบัติตนที่เคร่งครัด

ตามแบบฉบับของ "นักรบแห่งแสงสว่าง"

จนปิดกั้นการใช้สติปัญญาของท่านเอาไว้หมด

พวกท่านจึงพากันเชื่อและก้าวตามอย่างว่าง่าย

ทั้งๆที่ท่านเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า

ที่พวกเขากำลังนำทางพวกท่านไปอยู่นั้น

ถูกทิศถูกทางหรือว่ากำลังพาหลงทางกันแน่

 

2. ถ้าจะพิจารณากันในอีกมุมหนึ่งก็จะพบว่า

พวกเขามิอาจจะเป็นคนนำทางท่านได้เลย

เพราะจุดหมายปลายทางที่ฆราวาสจะไป

กับจุดหมายปลายทางของพวกเขาที่จะไป

มันเป็นคนละตำแหน่งแห่งที่กันอย่างชัดเจน

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า

นักรบแห่งแสงสว่างที่ท่านกำลังก้าวตามอยู่นั้น

เขามีเป้าหมายสำคัญอยู่เพียงแค่ว่า

ต้องการจะนำพาจิตวิญญาณไปให้พ้นจากโลกนี้

ต้องการให้จิตวิญญาณสาปสูญไปจากโลกเสรี

โดยต้องไม่มีต้องไม่มาเวียนว่ายตายเกิดอีกเลย

หมายถึง "ดับ" การมีสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิง

 

ส่วนตัวตนแก่นแท้ของจิตวิญญาณนั้น

พวกเขามิได้ใส่ใจใคร่รู้กันหรอกว่า

ถ้าทำให้หายไปจากโลกนี้ได้จริงแล้ว

จะไปตกหมกอยู่ที่ไหนหรือไปซุกอยู่หลืบไหน

เพราะพวกเขามองว่ามันมิใช่สาระสำคัญ

จึงพากันมองข้ามไปโดยละไว้ไม่คิดต่อ

 

ส่วนสาเหตุที่พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้แค่ว่า

จะนำพาจิตวิญญาณให้หายไปจากโลก

เพื่อไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดอีกก็เพราะว่า

มีเจตนาใหญ่คือต้องการจะ #หนีทุกข์ ให้พ้น

โดยมองว่าเกิดแก่เจ็บตายแม้จะเป็นเรื่องปกติ

แต่มันก็ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ถ้าหยุดหรือดับการเกิดเสียได้ความทุกข์ก็ไม่มี

พวกเขาคิดกันอย่างนั้น

 

แต่สำหรับชาวบ้านอย่างท่านทั้งหลาย

ที่ได้เลือกครองอยู่ในเพศฆราวาส

ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมบนโลกเสรีนี้

 

ในบทบาทของ #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

ซึ่งจะต้องต่อสู้กับความไม่ฉลาดของตนเอง

ในแบบของ "งอ-งู" ต้องมาก่อน "ฉอ-ฉิ่ง"

และท่านจะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ของตนเอง

ในแบบของ "ผิดเป็นครู" หรือ "รู้ไว้ใช่ว่า"

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ตามมรรควิถีแห่ง #ฆราวาส

ในบทบาทของ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” นั้น

พวกท่านจึงมิได้ต้องการจะหนีทุกข์ดับทุกข์

เพราะท่านมิได้เกลียดกลัวความทุกข์

เนื่องจากท่านทั้งหลายได้เรียนรู้มาบ้างแล้วว่า

ปัญหาทุกอย่างที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิตท่าน

มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อนำพา "ความทุกข์" มาให้

แต่ทุกปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่ง "ปัญญา" ต่างหาก

 

ดังนั้น

เมื่อเข้าใจในสัจธรรมบทที่ว่านี้แล้ว

พวกท่านจึงไม่ต้องเพียรหนีทุกข์

เพราะกลัวความทุกข์เหมือนพวกเขาอีก

การอยากจะตายให้พ้นไปเสียจากโลกนี้

การอยากจะดับการมีสังสารวัฏเสียที

เพื่อจะละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณกันดื้อๆ

จึงไม่มีใครในพวกท่านในจักรวาลนี้เขาทำกัน

 

3. การที่คนนำทางเหล่านี้ตาบอด

จนขาดความเหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ

ในประการที่สามนี้ก็คือ

 

เพราะว่าพวกเขาที่ท่านกำลังก้าวตามอยู่นี้

ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงมาก่อนเลย

ในการไปเยือนสถานที่ๆท่านเองต้องการจะไป

เมื่อพวกเขาไม่เคยรู้จักเพราะไม่เคยไป

แล้วเขาจะนำพาท่านทั้งหลายไปถูกทางถูกทิศ

เพื่อพิชิตเป้าหมายที่ว่านั้นได้อย่างไรกัน

มีแต่จะพาท่านหลงทางไปรวมอยู่ในที่เดียวกัน

ซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาเองก็หลงทางไปนั่นแหละ

 

นอกจากนั้น

พวกเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า

ถ้าจะก้าวเดินไปให้ถึงปลายทางที่ถูกต้อง

จักต้องมีคุณสมบัติอย่างไรและปฏิบัติตนอย่างไร

ที่เป็นธรรมชาติซึ่งกลมกลืนกับชีวิตประจำวัน

มิใช่พยายามชวนท่านให้ปลีกวิเวกละทิ้งสังคม

ให้มีโลกส่วนตัวเสมือนอยากจะไปสวรรค์คนเดียว

 

เพราะการสอนให้ท่านก้าวตามพวกเขาไป

ในบริบทของ “นักรบแห่งแสงสว่าง” หรือนักบวช

ทั้งๆที่พวกท่านเลือกที่จะเป็น “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง”

เพราะท่านเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนเป็นผู้มีสังคม

การก้าวตามพวกเขาไปจึงเสมือนท่าน #เดินถ่างขา

จะเล่นบทนักรบหรือจะสวมบทนักสู้ก็ไม่รู้แน่

ชีวิตของท่านจึงแลดูสับสนกันมายาวนาน

จนมิอาจประสบผลสำเร็จทั้งสองมิติได้เลย

 

ท่านทั้งหลายก็รู้ดีแล้วว่าทุกวันนี้นั้น

จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์

ทั้งที่เป็นนักบวชและเป็นฆราวาส

ถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

ท่านทั้งหลายต้องเร่งรุดตนเองอย่างไม่ชักช้า

เพื่อนำพาแก่นแท้ไปให้ถึงปลายทางนั้นให้ได้

จะมามัวหลับหูหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด

ที่พาหลงทางวกวนเหมือนในอดีตกาลไม่ได้แล้ว

เพราะไม่มีเวลาให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว

 

เราจึงขอกล่าวให้ท่านรู้ว่า

เพราะคนนำทางตาบอดที่ท่านกำลังก้าวตามนั้น

เขายังไม่เคยไปถึงที่ๆท่านต้องการจะไปมาก่อน

เขาจึงย่อมไม่รู้ทางที่จะไปอย่างแน่นอน

ที่สำคัญคือ “ปลายทาง” ที่พวกเขากำลังจะไป

เป็นคนละเป้าหมายคนละทิศกันกับที่ท่านจะไปอีกด้วย

 

ดังนั้น

เมื่อเขากำลังก้าวเดินไปคนละทางกับที่ท่านต้องไป

วิธีการที่พวกเขาพาท่านก้าวเดินก็ย่อมต่างกันด้วย

ถ้าทั้งปลายทางที่จะไปกับวิธีการย่างเดินมันต่างกัน

ท่านควรรีบเลิกหลับตาก้าวตามเสียทันที

นำแสงสว่างมาสู่ตนเองอีกครั้ง

ก่อนที่จะเสียเวลาและหลงทางไปไกลมากกว่านี้

 

(ยังมีต่อ)

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

15-7-2019