03 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/07/2019

#สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

มีคนๆหนึ่งซึ่งน่าจะยังคนไม่แล้วเสร็จ

ได้เข้ามาเขียนคำบ่น

ทิ้งไว้ในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา

แล้วเธอก็จากไป...ความว่า

 

"ดิฉันเป็นชาวพุทธศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม

จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา

ก็ไม่เคยได้ยินท่านกล่าวถึง

นิพพานดิบ นิพพานสุก

มีแต่คำว่านิพพานคำเดียวเท่านั้น

 

พระศาสดาของเราคือ

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้แจ้งโลก

ท่านมุ่งสอนให้คนพ้นทุกข์

ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บและตาย

และพุทธสาวกทั้งหลาย

ก็ดำเนินรอยบาทพระศาสดา

 

ผู้มีสติปัญญาแก่กล้า

ก็สามารถเข้าสู่นิพพานตามพระพุทธองค์

 

นิพพานในความหมายของพุทธคือดับเย็น

ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป

ไม่เคยได้ยินได้อ่านในคำสอนพุทธว่า

นิพพานแล้วต้องไปแขวนอยู่ที่แห่งใด

 

นิพพานในทางพระพุทธศาสนานั้น

หมายถึงความดับ เย็น

พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก

พูดง่ายๆ คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว

เพราะจิตได้รับการขัดเกลาจนสะอาด

ปราศจากผงฝุ่นธุลีจากกองกิเลสทั้งปวง

ที่เรียกว่าจิตประภัสสรแล้ว

 

ไม่เคยได้อ่านได้ฟังมา

ตามที่ท่านเขียนเรื่องนิพพาน

ดังกล่าว ข้างต้น"

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราอ่านภาษาจิตและภาษาอักษรของเธอแล้ว

จึงพบว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสงสาร

เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยังก้าวตาม

#คนนำทางตาบอด อยู่อย่างไม่รู้สติ

ในทุกภพชาติที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน

เพื่อที่จะคนตนเองให้เป็น "มนุษย์"

แล้วก็ "สอบตก" ซ้ำชั้นทุกครั้ง

 

ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง

ที่มีอยู่จริงในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

 

เรา "บุตรเอก" จึงขอกล่าว

พระโอวาทศักดิ์สิทธิ์

ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทุกคน

รวมทั้งใครก็ตามที่ยึดติดกับความคิด

ยึดติดกับความเชื่อแบบเธอคนนี้อยู่

เพื่อช่วยเปิด "ตาที่สาม" ให้สักเล็กน้อย

 

เราจึงจะขอกล่าวพระโอวาท

ต่อท่านทั้งหลายตามลำดับความ

ที่เธอคนนี้บ่นไว้ด้วยความ "ไม่รู้แจ้ง" ดังนี้

 

1. #เธอบ่นไว้ว่า:

"ดิฉันเป็นชาวพุทธ ศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม

จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา

ก็ไม่เคยได้ยินท่านกล่าวถึง

นิพพานดิบ นิพพานสุก

มีแต่คำว่านิพพานคำเดียวเท่านั้น"

 

พระโอวาท:

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

การที่เจ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง

พ่อแม่ครูอาจารย์ของเจ้า

กล่าวถึงคำว่า "นิพพานดิบ นิพพานสุก"

โดยมีแต่คำว่า "นิพพาน" คำเดียวเท่านั้น

ก็เป็นเพราะเหตุว่า

 

1. ทั้งพ่อแม่ครูบาอาจารย์และตัวเจ้า

ล้วนรับเอาแต่สัจธรรมคำสอน

จากศาสดาองค์เดียวกับคัมภีร์เล่มเดียวเท่านั้น

คำสอนที่สอนกันมาแต่อดีตเป็นแบบใด

ก็สืบทอดคำสอนกันมาแบบนั้นเท่านั้น

ธรรมะใดที่เป็นใบไม้นอกกำมือพระศาสดา

ซึ่งมิได้มีการสั่งสอนกันมาก็ไม่มีสืบสอนไว้

 

คำว่า "นิพพานดิบ-สุก" นี่ก็ใช่

เพราะพระศาสดาของเจ้าไม่เคยสอน

เจ้าจึงไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนไงล่ะ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

จึงไม่เห็นจะแปลกที่ตรงไหน

กับความรู้ใหม่เรื่องนิพพานดิบ นิพพานสุก

เพราะเจ้าก็บอกกล่าวเองว่า

มันเป็นความรู้ที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน

 

2. เจ้าจะต้องรู้ว่า

การจะเป็นผู้รู้รอบได้ต้องฉลาดเรียนรู้

ขยันอ่าน ขยันฟัง ขยันศึกษา

ด้วยหูตาที่เปิดกว้าง

ไม่กักขังตนเองอยู่ในกะลาครอบ

 

เจ้าต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า

ยิ่งมีครูหลายคนจะช่วยให้เจ้า

ยิ่งรู้รอบกว่ายึดติดครูคนใดอยู่คนเดียว

 

ยิ่งเปิดอ่านคัมภีร์เพื่อศึกษาหลายๆเล่ม

จะยิ่งรอบรู้กว่ายึดติดคัมภีร์แค่เล่มเดียว

 

เพราะที่ผ่านมาจากกาลอดีตจนถึงวันนี้

เจ้ายึดติดพระศาสดาอยู่องค์เดียว

เจ้าติดยึดอักษรในพระคัมภีร์อยู่เล่มเดียว

เจ้ายึดติดอัตตาตัวกูของกูอยู่คนเดียว

ขณะยุคสมัยโลกก้าวหน้าผ่านมานับหมื่นปี

 

เจ้าจึงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงในทางสูงขึ้น

มีแต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำลง

อย่างเช่นจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์

และการมีสติทางวิญญาณ เป็นต้น

 

3. เมื่อใดก็ตาม

ที่เจ้าพบเจอความรู้ใหม่

อย่างนิพพานดิบ-สุกนี้

เจ้าก็ควรรู้จักฉลาดลิ้มลองของใหม่

นั่นคือ "เรียนรู้" ว่ามันคืออะไร อย่างไรบ้าง

ดีกว่าปฏิเสธทันทีเพราะอ้างศาสดาไม่สอน

เจ้าจะรอบรู้ลึกซึ้งกว้างไกลยิ่งขึ้นได้

 

นี่เจ้าเอาแต่เชื่อตามพระศาสดาที่เจ้าเลือก

แล้วใยไม่ใช้สติปัญญาค้นหาความรู้เองบ้าง

หากปฏิเสธพระศาสดาพระองค์อื่นๆจนหมดสิ้น

เจ้าจะดูถูกตนเองเหมือนไร้ความคิดอยู่ทำไม

เพราะเจ้าต้องพึ่งสติปัญญาตนเองมากกว่า

 

เจ้าจึงควรที่จะค้นหาคำตอบ

จากห้องเรียนนี้ทันทีที่เจ้าพบความรู้ใหม่

โดยหาคำตอบให้ได้ว่า

 

#นิพพานดิบคืออย่างไร

#นิพพานสุกคืออย่างไร

 

แทนที่เจ้าจะปฏิเสธทันทีอย่างไม่มีเยื่อใย

โดยอ้างว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่เคยสอน

บรรพบุรุษโคตรเหง้าเหล่ากอก็ไม่เคยสอน

 

เมื่อนิสัยการเรียนรู้ของเจ้าเป็นอย่างนี้เสียแล้ว

ที่เจ้าเขียนบันทึกไว้ในห้องเรียนนี้ให้คนอ่าน

มันจึงมีแต่คำบ่น...บ่น...บ่น หาสาระไม่ได้

เพราะไม่มีความรู้ใดสำแดงไว้ให้ผู้คนอื่นๆ

ได้เรียนรู้ว่าเจ้ารู้อะไรดีๆบ้างเลย

 

4. การที่เจ้าไม่เคยได้ยิน

พ่อแม่ครูอาจารย์ของเจ้ากล่าวสอน

เรื่องนิพพานดิบ นิพพานสุก

ก็เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น

อาจจะรู้แต่มิได้สอนเจ้า

หรือว่าพวกเขา

อาจไม่รู้จึงมิได้กล่าวสอนก็ได้

 

ดังนั้น เจ้าจึงไม่ควรยึดติด

พระศาสดาองค์เดียวกับพระคัมภีร์เล่มเดียว

แล้วเที่ยวชี้วัดตัดสินผู้อื่นว่า

ศาสดาของตนเท่านั้นที่เป็นเลิศในโลก

แล้วก็เหยียดหยามศาสดาพระองค์อื่น

คำสอนใดที่ศาสดาของเจ้าไม่สอนไว้

เจ้าก็จะถือเป็นสิ่งไร้สาระทันที

 

แท้จริงแล้วแค่เจ้าคิดตื้นๆง่ายๆไม่ต้องลึก

เจ้าเองก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร

ทันทีที่ได้ยินคำว่า "นิพพานดิบ-สุก"

ที่เจ้าเองก็รับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต

เมื่อเจ้าผ่านเข้ามาหน้าห้องเรียนนี้ด้วยซ้ำ

 

2. #เธอบ่นไว้ว่า :

"พระศาสดาของเรา คือ

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้แจ้งโลก

ท่านมุ่งสอนให้คนพ้นทุกข์

ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บและตาย

และพุทธสาวกทั้งหลาย

ก็ดำเนินรอยบาทพระศาสดา"

 

พระโอวาท:

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

การที่เจ้าคนนี้กล่าวว่า

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นผู้รู้แจ้งโลกนั้น

เธอกล่าวผิดไปแล้ว

 

ที่แท้จริงพระศาสดาทรงเป็นสัพพัญญู

เพราะทรงรอบรู้ทุกสิ่งใน "อนันตจักรวาล"

มิใช่แค่เพียงในระบบโลกเล็กๆนี่หรอก

เนื่องจากพระองค์ทรงมีภพชาติการเกิด

จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

เวลาแห่งการเรียนรู้จึงมีมากมาย

ยิ่งทรงเรียนมากก็ยิ่งรู้มาก

ยิ่งเรียนรู้ไม่เลือกก็ยิ่งรอบรู้เป็นสัพพัญญูได้

 

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

สัจธรรมคำสอนของพระศาสดา

ที่เจ้านำมาอ้างว่าท่านมุ่งสอนคนให้พ้นทุกข์

ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บและตายนั้น

เป็นคำสอนก่อนหน้าพระองค์จะตรัสรู้

ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณต่างหาก

เจ้าใยนำเอาคำสอนของพระองค์

ที่ตัดคัดท่องมากล่าวเป็นบางท่อนล่ะ

พระศาสดาสอนไว้ตั้ง 84,000 บทมิใช่หรือ

 

เมื่อพระศาสดาทรงตรัสรู้แล้ว

พระองค์ก็ทรงทราบว่า

 

มนุษย์้เกิดมาเพื่อหมุนธรรมจักรในตนเอง

โดยอาศัยกรรมดีกรรมชั่วที่ตัวเองทำ

กับกรรมดีกรรมชั่วที่คนรอบข้างทำต่อเจ้า

เป็นเงื่อนไขทดสอบจิตสำนึก

ให้รักคนนั้นให้ได้แม้เขาจะทำตัวไม่น่ารัก

ให้อภัยเขาให้ได้แม้เขาทำตัวไม่น่าให้อภัย

ให้ฉลาดคิดแก้ปัญหากล้าตัดสินใจ

เพื่อสร้างสมดุลร่วมกันไว้ให้มั่นคง

 

พระองค์ทรงรู้แจ้งว่า

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

มนุษย์ทุกคนกับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ใครกวนสติก็ต้องรักให้ได้ให้อภัยให้เป็น

ทุกเงื่อนไขที่คนในสังคมกระทำต่อกัน

มันคือบทละครที่ทุกคนต้องแสดง

เพื่อให้จิตวิญญาณประสบความสำเร็จ

ในการมาเกิดเป็นมนุษย์

 

ปัญหาใดๆในชีวิตที่เผชิญ

เจ้าจะไปยึดติดอยู่ที่ความทุกข์ไม่ได้

เจ้าจักต้องค้นหาปัญญาในตนเอง

เพื่อจัดการกับปัญหาชีวิตนั้นๆให้ลุล่วง

มิใช่โทษแต่คนรอบข้างคนนั้นคนนี้

ว่าพวกเขาเป็นคนนำทุกข์มาให้

วันๆจึงคิดแต่จะหนีทุกข์กันเท่านั้น

เพราะไม่รู้หน้าที่ของตนว่าต้องทำอะไรบ้าง

 

พระพุทธองค์ก็ทรงสอนเรื่อง

ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตรไว้มิใช่หรือ

ปัญจวัคคีย์สาวกของพระองค์ทั้ง 5 รูป

เป็นพยานของพระศาสดาในเรื่องนี้ได้

 

เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วว่า

พระองค์มาจุติเป็นมนุษย์ทำไม

การคิดที่จะหนีทุกข์นั้นจึงไม่ถูกต้อง

การคิดที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด

ก่อนจบสิ้นอายุขัยและก่อนสิ้นยุคสมัย

เพื่อต้องการหนีทุกข์พ้นทุกข์

ก็เป็นความคิดต้องการที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน

 

เพราะการหมุนธรรมจักรเป็นหน้าที่หลัก

ที่คนทุกคนจักต้องถือปฏิบัติให้ได้

เพราะพวกเจ้าเห็นว่ามันยากและไม่เข้าใจ

จึงพากันใส่ใจแต่ธรรมะเบื้องต้นกันอยู่

จนหลงทุกข์หลงธรรมกันตลอดมา

ทั้งๆที่รู้ว่าธรรมะข้อใหญ่ที่ทรงตรัสรู้ไว้

คือ เรื่องธรรมจักร

แต่พวกเจ้ากลับมีความรู้ความเข้าใจ

ในเรื่องนี้กันแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

แถมยังตีความผิดอีกต่างหากด้วย

 

3. #เธอบ่นไว้ว่า :

"ผู้มีสติปัญญาแก่กล้า

ก็สามารถเข้าสู่นิพพานตามพระพุทธองค์

 

นิพพานในความหมายของพุทธคือดับเย็น

ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป

ไม่เคยได้ยินได้อ่านในคำสอนพุทธว่า

นิพพานแล้วต้องไปแขวนอยู่ที่แห่งใด"

 

พระโอวาท:

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

เจ้าจงอย่าเอาพระพุทธองค์มาอ้าง

ว่าทรงเป็นผู้นำทางสู่นิพพาน

ของประดาผู้มีสติปัญญาแก่กล้าได้

 

เจ้าเชื่อเช่นนั้นหรือว่า

มีใครนิพพาน (หลุดพ้น) ตามพระองค์ได้จริง

มีใครนิพพาน (หลุดพ้น) ได้

เพียงเพราะมีสติปัญญาแก่กล้าเท่านั้น

เจ้ามีตัวอย่างอ้างนามหรือเปล่า

 

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

เส้นทางหลุดพ้นอันเป็นนิพพานขั้นสูงสุด

ที่พระพุทธองค์ทรงพระดำเนินไปแล้ว

ถึงที่สุดแห่งนิพพานแล้วนั้น

เป็นเพราะพระองค์ทรงละวางความทุกข์ได้

ไม่เกลียดกลัวความทุกข์อีกต่อไป

 

เพราะทรงตรัสรู้ว่าจิตวิญญาณมาเกิด

เพื่อสอบให้ผ่านบทเรียนกรรมทุกบททดสอบ

โดยใช้ความรักเพื่อให้จากจิตอันบริสุทธิ์

และใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมอง

ซึ่งปฏิบัติการสองมิติที่ว่านี้

คือ การหมุนธรรมจักรของพวกเจ้า

ที่จะช่วยให้โลกสมดุลไม่มีภัยพิบัติไงล่ะ

 

พระบิดามิได้ให้เจ้ามาเกิดแล้วติดทุกข์ติดสุข

จนต้องซมซานหนีทุกข์หาสุข

อย่างไม่รู้คุณค่าแห่งการเป็นมนุษย์

กันมาหลายภพชาติแล้ว

จงเกิดสติทางวิญญาณกันได้แล้วล่ะนะ

 

ถ้าเจ้าจะก้าวตามพระพุทธองค์ไป

ต้องมุ่งไปในเส้นทางตายแล้วหลุดพ้น

หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

ผ่านเส้นทางด่านนภาลัยที่พวกเจ้าเข้ามา

เข้ามาทางไหนก็กลับออกไปทางนั้น

เส้นทางนี้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น

ที่จิตวิญญาณพวกเจ้าจะก้าวตามพระองค์ได้

เพราะพระองค์ก็ทรงกลับไปผ่านเส้นทางนี้

 

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

ที่เธอคนนี้กล่าวบ่นไว้ว่า....

 

"นิพพานในความหมายของพุทธคือดับเย็น

ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป

ไม่เคยได้ยินได้อ่านในคำสอนพุทธว่า

นิพพานแล้วต้องไปแขวนอยู่ที่แห่งใด"

 

ความทั้งหมดนี้

แสดงให้เห็นว่าผู้กล่าวรู้จริงแต่มิรู้แจ้ง

ทั้งยังมิได้เห็นจริงเห็นแจ้งตามที่กล่าวด้วย

เจ้ามีแค่ "ความเชื่อ" ในสิ่งที่กล่าวเท่านั้น

 

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

การที่พวกเจ้าพยายามหาทาง

ดับการมีสังสารวัฏ

โดยจะละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ที่ขันอาสาพระบิดาว่าจะมาทำหน้าที่

ตามพันธะสัญญา 6 แล้วไม่ทำ

เพราะเกลียดกลัวความทุกข์นั้น

มันทำให้ตนเองไม่สง่างามเอาเสียเลย

 

การตายของพวกเจ้า

จะเกิดขึ้นไม่ได้หรอกถ้า.....

 

1. กายสังขารยังทำงานได้อยู่

2. ยังไม่จบสิ้นอายุขัย

3. มีผลกรรมเก่าใหม่มากเกินพอแล้ว

 

ดังนั้น

การพยายามดับการมีสังสารวัฏ

จึงมิใช่ทำได้ง่ายๆ

ถ้าจะตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก

จึงมีเพียง 2 ทางเลือกเท่านั้น

คือ หนึ่ง สร้างทางเบี่ยงไปเกิดที่อื่นแทน

และสอง ทำหน้าที่ให้สำเร็จแล้วกลับบ้าน

 

เจ้ากล่าวว่า....

"ไม่เคยได้ยินได้อ่านในคำสอนพุทธว่า

นิพพานแล้วต้องไปแขวนอยู่ที่แห่งใด"

 

เจ้าไม่เคยได้ยิน

หรือเป็นเพราะเจ้า "สังเคราะห์ธรรม"

ด้วยปัญญาญาณของสมองซีกขวาไม่ได้

จึงคิดเอาเองว่าพุทธไม่เคยสอนไว้กันแน่

 

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

 

ก็พวกเจ้าเองมิใช่หรือ

ที่มักสอนกันว่าอยากเกิดบนสวรรค์

เพราะเชื่อว่าสวรรค์มายานั้น

สูงกว่าโลกมนุษย์และนรก

 

พวกเจ้ามิใช่หรือ

ที่มักสอนกันว่าทำบุญเบื้องล่าง

เอาไปสร้างสวรรค์วิมานเบื้องบน

 

พวกเจ้ามิใช่หรือ

ที่เชื่อเรื่องเทพเจ้าเรื่องเทพพรหมชั้นสูง

ยศของนักบวชยังตั้งเป็นเทพเป็นพรหม

เพราะมีค่านิยมแบบนี้กันอยู่มิใช่หรือ

 

รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังจะกล่าวว่า

คำสอนพุทธไม่เคยสอนว่า

นิพพานแล้วจิตวิญญาณของเจ้า

ต้องไปแขวนอยู่ที่แห่งใด?

อยู่อีกหรือเปล่า

 

จิตวิญญาณที่ไปแขวนลอยอยู่

บนสวรรค์มายานี่แหละเจ้า

คือ หลงทางนิพพาน

พอไปอยู่ตรงนั้นแล้วก็รู้ด้วยตนเองว่า

ตนมาผิดทางแล้ว

จะกลับลงมาบอกมนุษย์โลกว่า

อย่าก้าวตามฉันมานะก็ลงมาไม่ได้

จนถึงทุกวันนี้พวกเจ้าจึงไม่รู้ความจริง

เพราะผู้หลุดลอยมิอาจบอกพวกเจ้าได้ว่า

ผู้แขวนลอยทั้งหลายก็ยังมีทุกข์อยู่

 

การตายแล้วหายไปจากโลก

ไม่กลับมาเกิดอีก

ก็เพราะกลับลงมาเกิดไม่ได้

เจ้าจึงดับการเวียนตายเวียนเกิดได้

ในสายตาของมนุษย์โลก

แต่พวกเจ้าผู้หลุดลอยทั้งหลาย

ก็ยังมีตัวกูของกูกันอยู่เช่นเดิม

ยังมิได้กลับออกไปยังที่ๆตนจากมา

ในภพชาติแรกกันอยู่เลย

 

เพราะขาดปัญญาจึงเหมือนตาบอด

แถมยังจะเชื่อตามคนนำทางตาบอดอีก

พระบิดาแห่งเจ้ามอบหมายให้บุตรเอก

นำแสงสว่างทางปัญญามาให้เพราะรู้ว่าไม่รู้

แล้วใยจึงไม่ยอมส่งตะเกียงมาให้จุด

เพื่อให้เกิดแสงสว่างขับไล่ความมืดบอด

โดยยอมก้มหัวให้กับความมืดมิด

เพราะเอาแต่ปิดอายตนะดั่งผู้พิการ

จักมีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นกันทำไม

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

3-7-2019