สนทนาประสาจิตจักรวาล
22/03/2021
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตใจของเรามิได้เป็นทุกข์อย่างใดเลย
เมื่อพี่ๆน้องๆที่รักพระบิดาและศรัทธาเรา
แจ้งข่าวอันไม่เป็นมงคลให้เราทราบว่า
มีผู้นินทาว่าร้ายประณามเหยียดหยามเราว่า
เป็นคนบ้า...เพี้ยน...สติไม่ดี...
สอนเรื่องอะไรก็ไม่รู้
ที่ศาสดาของตนไม่เคยกล่าวสอนไว้
ดังนั้น
พระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาลบทนี้
จึงขอกล่าวความจริงเพื่อทำลายความโง่งม
ช่วยขัดเกลาสติปัญญาคนเหล่านี้สักหน่อย
จะได้ช่วยกระตุ้นจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
สู่การเป็นสัตว์สังคมผู้มีสติปัญญาอันประเสริฐ
และช่วยสร้างสติทางวิญญาณให้คนพวกนี้ด้วย
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
คนที่เขากล่าวหาว่าเราบ้าหรือเพี้ยน
กล่าวหาว่ามันสอนธรรมะเรื่องอะไรของมันก็ไม่รู้
โดยอาศัยตรรกะที่ทั้งโง่ทั้งง่ายและงมงายว่า
ถ้าผู้ใดกล่าวในสิ่งที่ศาสดาของตนมิได้สอนไว้
ก็จะฟันธงทันทีว่าคำสอนนั้นไร้สาระหรือเลอะเทอะ
ครูผู้กล่าวสอนธรรมะนั้น "เพี้ยน" หรือไม่ก็ "เสียสติ"
เพราะพวกนี้ยึดติดพระศาสดาและคัมภีร์ทางศาสนา
โดยคิดว่าพระศาสดากับคัมภีร์ที่ตนนับถืออยู่นั้น
เป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งเพียงพระองค์เดียวในจักรวาลนี้
เป็นคัมภีร์เล่มเดียวที่จดจารพระธรรมเอาไว้ครบสิ้น
ทั้งๆที่พระศาสดาของตนเอง
ได้กล่าวเชิงเตือนสติผู้ก้าวตามพระองค์เอาไว้แล้วว่า
สัจธรรมที่ทรงกล่าวสอนเอาไว้แปดหมื่นสี่พันกองน่ะ
เป็นแค่เพียงใบไม้ไม่กี่ใบในกำมือของพระองค์เท่านั้น
แต่ยังมีใบไม้อีกจำนวนมากมายหลายเท่าที่อยู่ในป่า
ซึ่งพระองค์ "กำ" เอามากล่าวสอนมนุษย์ยังไม่หมด
ดังนั้น
การที่พวกเขาพากันก้าวล่วงเราว่าเพี้ยนว่าบ้า
จึงเป็นการกล่าวประณามเราด้วยความเท็จ
จากความอับเฉาเบาปัญญาของตัวเองโดยแท้
เพราะคนพวกนี้จะปฏิเสธพระโอวาทจากพระเจ้า
ที่ทรงพระเมตตาสื่อเป็นคลื่นการคิดผ่านเรามา
โดยได้ยินแล้วแต่ไม่ฟังไม่คิดพิจารณาตาม
เพราะคนพวกนี้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ศาสดามิได้สอน
แทนที่จะมองแบบคนที่ฉลาดเรียนรู้เขาจะมอง
คือ มองว่าพระโอวาทพระบิดาที่เรากล่าวทั้งหมด
ซึ่งตนรู้สึกแปลกหูนั้นมันเป็น ความรู้ใหม่
อันควรค่าแก่การใส่ใจเรียนรู้ของพวกเขาด้วยซ้ำ
สาเหตุที่คนพวกนี้เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า
1.พวกเขายึดติดศาสดาของตนอย่างงมงาย
โดยเข้าใจว่าศาสดาของตนนั้นเป็นสัพพัญญู
อยากรู้อะไรในโลกและจักรวาลอันไพศาลนี้
พระองค์สามารถเรียนรู้ได้หมดทุกสิ่งทุกเรื่องราว
จึงพากันด่วนสรุปเอาง่ายๆว่า
ศาสดาของตนคือคำตอบของทุกสิ่งในจักรวาล
ไม่มีศาสดาพระองค์ใดรู้เท่ารู้ทันหรือรู้มากกว่า
ศาสดาของตนอีกแล้วในโลกนี้
อันตรรกะที่ว่านี้ถ้ามองในมุมของปุถุชน
คนที่พยายามจะทำตนเป็นวิญญูชนกับเขาบ้าง
ทั้งๆที่ยังอ่านแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ไม่แจ้ง
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าพระไตรปิฎกปกสีอะไรด้วยซ้ำ
ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นหลักคิดที่ไม่น่าจะผิดอะไร
แต่พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ท่านจะนำเอาความเป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้ง
รอบรู้ถ้วนทุกสิ่งที่มีอยู่จริงในอนันตจักรวาลว่า
เป็นศาสดามหาคุรุผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้วไม่ได้นะ
เพราะสัจธรรมความจริงทั้งหมดในจักรวาลนี้
มันเป็นเพียงแค่ความจริงทั้งหมดในกะลาครอบ
ที่ทั้งกบทั้งแกะผู้เวียนเกิดเวียนตายกันอยู่ในนี้
ได้ใช้เวลาอยู่กับมันมานานร่วมหกหมื่นปีโลกแล้ว
จึงไม่ยากเกินไปที่พระศาสดาผู้เกิดจากโลกเอง
จะสามารถเข้าถึงความจริงทุกสรรพสิ่งได้ดังกล่าว
ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้มาแล้วหลายสังสารวัฏ
แต่ท่านทั้งหลายก็ยังจะต้องรู้ไว้ด้วยว่า
สัจธรรมความจริงที่มนุษย์ต้องรู้และรู้ได้นั้น
มิได้มีแค่เพียง โลกิยธรรมกับโลกุตรธรรม
ที่สมองสองซีกซ้ายขวาถูกออกแบบมาให้ใช้
เพื่อการวิเคราะห์และสังเคราะห์สัจธรรม
ตามที่องค์สัพพัญญูท่านเข้าถึงได้ไม่ยากเท่านั้น
แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
สัจธรรมความจริงที่อยู่ข้างนอกกะลาที่คว่ำอยู่
ซึ่งพวกท่านไม่รู้ไม่เห็นและไม่เคยฉุกคิดนั้น
มันยังเป็นสัจธรรมความรู้ใหม่ของมนุษย์อยู่อีกด้วย
ซึ่งประดากบทั้งหลายในกะลานั้นไม่รู้ว่าตนไม่รู้
แต่พวกกบจะต้องรู้ถ้าไม่รู้จะนิพพานจริงๆไม่ได้
สัจธรรมความจริงนอกกะลาคว่ำที่ว่านี้นี่แหละ
คือสัจธรรมที่พระบิดาให้เรามากล่าวต่อพวกท่าน
ซึ่งพระศาสดาของท่านไม่เคยกล่าวไว้ใงล่ะ
พวกท่านจึงประณามเราหรือเสียดสีเราว่า...เพี้ยน
เพราะศาสดาของท่านมิเคยกล่าวถึงนั่นเอง
เราจะไม่ถือสาพวกเขาเหล่านี้
โดยยอมให้จิตใจเราเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เด็ดขาด
เพราะคนพวกนี้คิดเข้าใจว่าสัจธรรมที่มีอยู่จริง
จะมีแค่โลกิยธรรมกับโลกุตรธรรมเท่านั้น
ทั้งๆที่ยังมีความจริงสูงสุดที่ปัญญามนุษย์
มิอาจเข้าถึงความจริงระดับนี้ได้ด้วยตนเองอยู่อีก
ซึ่งพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
ทรงเรียกว่า อนุตรธรรม ที่เป็นความจริงนอกกะลา
เพราะมนุษย์โลกรู้เองไม่ได้แม้แต่องค์สัพพัญญู
พระบิดาจึงต้องส่งพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า
รวมทั้งเราพระบุตรเอกของพระองค์ในปลายยุคนี้
เข้ามาบอกกล่าวความจริงระดับอนุตรธรรม
ให้กบให้แกะในกะลาครอบทั้งหลายได้รับทราบ
แต่คนพวกนี้มิได้ใช้ปัญญาพิจารณาสาระธรรม
มุ่งใช้แต่โมหะกล่าวร้ายเราอย่างงมงายแทน
น่าเสียดาย...ที่พวกเขาเหล่านี้
เป็นผู้ยึดติด งมงาย สิ้นคิดและใจแคบ
จึงมิอาจลิ้มรสน้ำองุ่นและทานขนมปังพระบิดา
ที่ดื่มกินแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องตายอีกได้
2.การที่คนพวกนี้มาก้าวล่วงเราและพระบิดา
เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง
ทั้งๆที่พระเจ้าคือพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ทั้งของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายโดยแท้
ทั้งๆที่ตนได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งๆที่ตนมีชีวิตอยู่ก็ด้วยจิตวิญญาณ
ซึ่งได้รับพระเมตตาจากพระบิดาหรือพระเจ้าแท้ๆ
ไม่ต่างจากเด็กโง่ที่ปฏิเสธบิดามารดา
ผู้ให้กำเนิดตนเองออกมาจนได้ลืมตาดูโลก
โดยไม่แม้แต่จะคิดจะพิสูจน์ความจริงด้วยซ้ำ
เพราะเหมือนจะเชื่อว่าจิตวิญญาณของตนเกิดเองได้
เกิดแล้วก็เป็นจิตวิญญาณพเนจรร่อนเร่ไปเรื่อยๆ
จนบังเอิญมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกเสรีนี้
ไม่ต่างจากลูกอกตัญญูและเนรคุณพ่อแม่
เพราะนอกจากจะไม่เชื่อและไม่พิสูจน์ความจริงแล้ว
ยังใช้วาจาก้าวล่วงจ้วงจาบพระองค์อีกต่างหากด้วย
ใครที่เป็นบุตรแล้วทำเหตุให้พ่อแม่เสียใจหลั่งน้ำตา
ทำตนแบบไม่สำนึกรู้คุณค่าของน้ำนมแล้ว
จะมิให้ตำหนิติติงว่าอกตัญญูและเนรคุณได้อย่างไร
3.การที่พวกเขาเหล่านี้
ใช้วาจาก้าวร้าวก้าวล่วงเราว่าบ้า เพี้ยน เสียสติ
เป็นเพราะพวกนี้หลงเชื่อตามคำสอนอันผิดเพี้ยน
หลงเชื่อคำสอนที่บิดเบือนของคนนำทางตาบอด
โดยเชื่อคนนำทางตาบอดอย่างว่าง่ายไม่ขบคิดตาม
เพราะเรียนธรรมะอย่างขาดสติสัมปชัญญะปัญญา
จนเผลอจิตคิดไปว่าคนนำทางตาบอดคือพระศาสดา
พวกเขาสอนว่าอย่างไรจึงเชื่อตามเขาไปทุกเรื่อง
เมื่อมารับรู้ความจริงจากพระโอวาทที่เรากล่าว
เพื่อช่วยแก้ไขความคิดเข้าใจที่ไม่ถูกต้องให้ใหม่
ซึ่งมันย่อมต่างจากคำสอนของคนนำทางตาบอดแน่
คนพวกนี้ก็ยอมรับความจริงที่แตกต่างไม่ได้
เพราะมีนิสัยชอบฟังแต่ธรรมะซึ่งตรงกับที่พวกตนรู้อยู่
จึงปฏิเสธและต่อต้านความรู้ที่แตกต่างของพระบิดา
ด้วยอำนาจฤทธิ์แห่งกิเลสและโทสะของตนนั่น
(ยังมีต่อภาค 2)
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22/03/2021