16 มีนาคม 2564

นิพพานก่อนตาย มิใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การกล่าวถึงเรื่องของนิพพาน
ขณะที่วันนี้พวกท่านยังไม่รู้และยังไม่เข้าใจ
เรื่องการมีสองภาค ในตนเองกันเลยนั้น
เป็นการผิดขั้นตอนของการปฏิบัติธรรม
เพราะยิ่งศึกษาเรียนรู้เรื่อง "นิพพาน" มากเท่าใด
จะยิ่งทำความสับสนให้แก่ท่านมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนดั่งทุกวันนี้ที่โลกเป็นกันอยู่
การมีสองภาคในตนเอง
เราหมายถึงท่านทั้งหลาย
มิได้มี "จิตวิญญาณ" ผู้ขันอาสาพระบิดา
มาเกิดเป็น "คนสองมิติ" เพื่อเป็นแก่นแท้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
อยู่แค่เพียงรูปธรรมเดียวเท่านั้น
แต่จิตวิญญาณของท่าน
ผู้แบ่งภาคลงมาจากตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ในแดนสุญตาซึ่งอยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
เมื่อได้รับโอกาสให้เข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณ
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ในบทบาทของคนสองมิติ นั้น
จิตวิญญาณของท่าน
จะทำการแบ่งภาคตนเองออกมา
เป็น "กลุ่มพลังงาน" จำนวนทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้เกิดการกระทำในสองมิติแทนตนเอง
คือมิติของกายหยาบและมิติทางพลังงาน
ซึ่งพระบิดาทรงเรียกกลุ่มพลังงานนี้ว่า จิตหยาบ
ดังนั้น
ท่านจึงต้องรู้ว่าตนเองนั้นมีสองภาค
ภาคแรกคือจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
ภาคที่สองก็คือ "จิตหยาบ" ซึ่งเป็นตัวแทน
ผู้ได้รับมอบอำนาจให้ทำหน้าที่แทนตนนั่นเอง
ความต้องการทางจิตวิญญาณของมนุษย์
อันเป็นหน้าที่หลักของ "จิตหยาบ" โดยตรงก็คือ
พวกท่านโดยจิตหยาบนี่แหละ
ต้องเรียนรู้ที่จะยกระดับตนเอง
ให้มีคุณสมบัติทัดเทียมกันกับจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในอีกภาคหนึ่งให้จงได้
อันหมายถึงจิตหยาบต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้นั่นเอง
เหตุที่จิตหยาบต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ
เพราะว่าจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายนั้น
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ด้วยตนเองแต่เพียงลำพังไม่ได้
เนื่องจากพระบิดาทรงรักและห่วงใหญ่
จึงมิทรงปรารถนาให้จิตวิญญาณหรือพระจิต
เกิดความเสื่อมคลายไปจากสภาวะสุญตา
อันเกิดจากสภาวะแวดล้อมในระบบโลก
พระองค์จึงทรงกำหนดให้ "จิตหยาบ"
ทำหน้าที่แทนอย่างเต็มรูปแบบในสองมิติ
สิ่งใดการใดที่จิตหยาบเป็นผู้กระทำ
ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
ไม่ว่ามันจะถูกต้องเหมาะสมดีงาม
หรือว่ามันจะผิดบาปหยาบช้าอย่างไร
จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้จักต้องรับผิดชอบ
ในผลลัพธ์ของการกระทำนั้นไว้ทั้งหมด
โดยที่จิตหยาบผู้ก่อเวรกรรมเอาไว้
ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
เพราะเมื่อสิ้นอายุขัยของกายสังขาร
จิตวิญญาณของตนจะแบกรับกรรมทั้งหมดไว้
ส่วนจิตหยาบก็จะสลายไปกับกายสังขารนั้น
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
จิตวิญญาณในภาคของแก่นแท้ของท่าน
ต้องการมีภพชาติใหม่ต้องการโอกาสเกิดใหม่
เพราะต้องการจะมี "จิตหยาบ" กลุ่มใหม่
ที่ตนหวังว่าจะไม่เหลวไหลไม่เกียจคร้าน
ไม่โง่งมงายเหมือนกับจิตหยาบในอดีตชาติอีก
โดยหวังว่าจิตหยาบในภพชาติใหม่นั้น
จะขยันเรียนรู้ที่จะยกระดับ "จิตสามนึก" ของตน
ให้สั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกให้จงได้
เพราะมันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่แท้จริง
แทนที่จิตหยาบจะถูกกิเลสตัณหาครอบงำไว้
จนมิอาจสั่นสะเทือนย่านความถี่ที่สูงกว่าได้
อนุตรธรรมความจริงที่เรากล่าวนี้
เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าท่านไม่รู้
และเพราะไม่รู้ความจริงที่ว่านี้นี่เอง
จึงยังผลให้พวกท่านเกิดความสับสนในตนเอง
เรื่องการหนีทุกข์ หนีโลก หนีสังสารวัฏ
หนีการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาปฏิบัติในระบบโลก
ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
เงื่อนไขทั้งหลายทั้งดีทั้งร้ายในชีวิต
ที่พวกท่านต่างพบพานผ่านเผชิญกันนั้น
มันคือสิ่งที่เรียกว่า ปัญหา หรืออุปสรรค
ที่จิตวิญญาณของท่าน "ออกแบบ" กันมาเอง
แล้วแลกบทบาทแสดงออกหรือกระทำต่อกัน
เป้าหมายหลักของแผนการนี้ก็คือ
ให้พวกท่านเมื่อได้พบเผชิญปัญหาแล้ว
จักต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกให้ได้
ถ้าเขาทำดีต่อท่านเพื่อให้ท่านทำดีตอบ
ถ้าเขาสร้างปัญหาให้กับท่าน
ท่านก็ต้องทำดีตอบสนองเขาให้ได้
การจะทำดีตอบสนองคนที่ทำไม่ดีได้
ท่านจะต้องใช้พลังความรักบริสุทธิ์เท่านั้น
คือต้องทำดีกับเขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
หรือทำดีกับเขาโดยเขาไม่ต้องดีกับท่านก่อนก็ได้
หมายความว่า
ทุกเงื่อนไขในชีวิตเมื่อท่านเผชิญ
จิตวิญญาณของท่านปรารถนาจะให้จิตหยาบ
มองเห็นตัว "ปัญหา" เพื่อการยกระดับปัญญา
และเข้าให้ถึงความรักเพื่อให้อันบริสุทธิ์
จากเงื่อนไขทั้งดีหรือร้ายรอบด้านที่ผ่านเข้ามา
แทนที่จะรับเอาแต่ "ทุกข์" ซึ่งไร้สาระประโยชน์
เหมือนดั่งผู้มีดวงปัญญามืดบอด
จนพากันหนีทุกข์หนีโลกอย่างหัวซุกหัวซุน
แล้วหลงผิดอีกว่าถ้าตนหนีทุกข์ไปจากโลกได้
ก็ขี้ตู่เอาง่ายๆว่าตนนั้นถึงนิพพานกลับบ้านแล้ว
ถ้าท่านทราบอนุตรธรรมความจริงนี้แล้ว
ท่านคงบอกตนเองได้แล้วว่า
ที่เชื่อกันมาว่าถ้าตายไปจากโลกนี้ได้
ไม่กลับมาเกิดใหม่มามีภพชาติใหม่อีกเลย
แสดงว่าตนดับทุกข์ได้สิ้นจึงพ้นทุกข์แล้ว
จิตวิญญาณของท่านนั้นนิพพานแล้ว
อันเป็นการ "สูญ" แล้วไม่มีแล้วหรือทำนองนี้
มันคือการหลงทาง หลงธรรมโดยแท้
ไม่ต่างจากท่านทั้งหลายที่เข้าใจว่า
การเป็นคนชั่วคือคนที่ประพฤติผิดคิดชั่ว
ถ้าใครไม่ประพฤติผิดคิดชั่วก็คือคนดี
ไปจนถึงขั้นนิยามว่าคนดีคือคนที่ชั่วน้อย เป็นต้น
ในความจริงของจิตวิญญาณก็เช่นกัน
การที่ท่านดับทุกข์คือดับกิเลสได้นั้น
มันเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบของท่าน
ซึ่งแม้จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
แต่จิตหยาบของท่านยังมิได้เรียนรู้
ที่จะทำเรื่องสำคัญเพื่อจิตวิญญาณตนเองเลย
เมื่อท่านดับกิเลสได้จริงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่าท่านต้องใช้จิตหยาบ
กระทำเพื่อจิตวิญญาณของท่านเองด้วย
คือเข้าถึงความรักเพื่อให้ในทุกรูปแบบ
ตอบสนองต่อคนรอบข้างทุกๆคนทุกๆกรณี
ที่เขาหยิบยื่นปัญหาหรือเงื่อนไขทั้งดีทั้งร้าย
มาให้ท่านได้พบพานผ่านเผชิญกันรายวัน
หากท่านไม่ทำเช่นว่านี้
จิตวิญญาณของท่านก็จะมิอาจนิพพานแท้
คงเป็นได้แค่จิตหยาบของท่าน
สร้างสภาวะนิพพานเทียมเท็จเองเท่านั้น
จิตหยาบจึงทำได้แค่ส่งจิตวิญญาณของท่าน
ให้หลุดลอยไปค้างอยู่บนสวรรค์มายา
จนกลับลงมาก็ไม่ได้ไปต่อก็รอวันถึงทางตัน
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การดับทุกข์ได้มิได้หมายถึง
การนิพพานของจิตวิญญาณแต่อย่างใด
มันเป็นเพียงแค่การนิพพานกิเลสตัณหาราคะ
อันเป็นคุณสมบัติขยะของจิตหยาบ
ที่เป็นเหตุให้เข้าถึงจิตวิญญาณไม่ได้เท่านั้น
การรักได้ ให้อภัยเป็น
ไม่ก้าวล่วงใคร
ใช้จิตปัญญาในการดำเนินชีวิต
ด้วยสภาวะจิตที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง
ทั้งหมดนี้ต่างหากที่จะยังผลให้
ภาคของจิตหยาบกับภาคของจิตวิญญาณ
กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันได้
นี่ไงล่ะ...คือ การนิพพานก่อนตาย
มิใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/03/2021