สนทนาประสาจิตจักรวาล
22/03/2021
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะเราวางใจในพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เรามีพระองค์ทรงสถิตย์ประทับอยู่กับใจเรา
เราจึงมิได้ท้อแท้ใจไปกับคำกล่าวเท็จ
ของประดาแกะนอกรีตบางตัว
ที่จาบจ้วงล่วงเกินเราด้วยการนินทาว่าร้าย
เพราะพวกเขาตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
จนปิดมิติการใช้ปัญญาหันเข้าหาความงมงายแทน
โดยคนพวกนี้จะกล่าวประณามเราด้วยคำเท็จว่า
เราขโมยธรรมะของพระพุทธเจ้าและพระเยซู
เอามาต้มยำทำแกงเสียจนมั่วจนเลอะเทอะ
จนไม่รู้ว่าตัวเรานั้นนับถือศาสนาอะไรกันแน่
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
สาเหตุที่พวกเขาพยายามค้นหาคำตอบว่า
ตัวเรานี้เป็นผู้นับถือศาสนาอะไรกันแน่
แทนที่จะใส่ใจพระโอวาทพระบิดาที่เราสื่อมา
เพราะคนพวกนี้ยึดเอานิสัยของตนเป็นที่ตั้ง
คิดว่าตนเองเป็นอย่างไรคนอื่นก็ต้องเป็นเช่นนั้น
โดยเฉพาะนิสัยในการเป็นคนมีศาสนานั้น
ถ้าตนเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งแล้ว
ก็จะปฏิเสธศาสนาอื่นหรือศาสดาพระองค์อื่นทันที
จะใฝ่เรียนรู้แต่ธรรมะจำเพาะศาสนาที่ตนเลือก
ส่วนคำสอนของศาสนาอื่นจะกลายเป็นของแสลง
ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าศาสนาอื่นๆเขาสอนอะไรบ้าง
คนอย่างพวกเขาเหล่านี้คือคนที่มีใจแคบ
มักจะประพฤติตนเหมือนคนก้าวร้าว
ด้วยการคอยทำตนเสมือนผู้พิทักษ์ศาสนา
โดยไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้มอบอำนาจให้
แค่รู้ว่ามีคนกล่าวธรรมะที่ตรงกันกับศาสนาของตน
แต่มิใช่คนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับตนแต่อย่างใด
มีสิ่งเดียวที่คนพวกนี้จะกล่าวประณามหยามหมิ่นกัน
คือการกล่าวเท็จหรือป้ายสีใส่ในข้อหา ขโมยธรรมะ
สาเหตุที่พวกเขาเหล่านี้แสดงอาการหวงธรรมะ
ก็เป็นเพราะเหตุว่า
1.เป็นผู้ยอมรับนับถือศาสนาและศาสดาด้วยกิเลส
โดยอาศัยความรู้สึกชอบรู้สึกพึงพอใจเป็นตัวตั้ง
จึงเกิดการคลั่งไคล้ในอัตตาตัวตนของพระศาสดา
จึงเกิดการลุ่มหลงยึดติดในมายาของศาสนานั้นๆ
จนทำให้ทั้งศาสนาและศาสดาของตนเสื่อมศักดิ์สิทธิ์
2.ความเสื่อมจากศักดิ์สิทธิ์ที่คนพวกนี้เป็นเหตุ
คือการดึงเอาพระศาสนามาทำเป็น ลัทธิ
ด้วยการชี้ว่าถ้าใครไม่นับถือศาสนาเดียวกันกับตน
หรือคนนอกศาสนาทั้งหลายจะเป็น คนนอกรีต
จะมาศึกษาจะมาเกี่ยวข้อธรรมะเดียวกันไม่ได้
นอกจากนั้น "ความเสื่อมของศาสนา"
อันเกิดจากคนพวกนี้ที่ทำตนเป็นหนอนมะม่วง
คือการนำเอาพระศาสดามาทำเสมอเป็น เจ้าลัทธิ
ซึ่งเป็นการกระทำที่ขาดสติโดยไม่รู้ตัวแท้ๆ
การนำพระศาสดามาทำเป็นเจ้าลัทธิก็คือ
คนที่ตนมองว่าเป็นคนนอกรีตนอกศาสนา
ห้ามนำเอาธรรมะคำสอนทางศาสนาของตน
ไปกล่าวถึงหรืออ้างอิงโดยเด็ดขาด เป็นต้น
ซึ่งคนพวกนี้จะใช้หลักนี้ในการสั่งสมสาวก
3.เพราะคนพวกนี้เป็นผู้คิดแบบจิตมนุษย์
โดยติดนิสัยที่ไม่ถูกต้องมาตั้งแต่เล็กน้อย
นั่นคือ ความเชื่อที่ฝังหัวว่า
สิ่งที่ดีที่สุดจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ถูกต้องที่สุดจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
คำตอบที่ถูกต้องที่สุดจะมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น
พวกเขาทั้งหลายจึงใช้นิสัยสันดานที่ไม่ดีนี้
เลือกยอมรับนับถือศาสดาและศาสนาเดียว
จนเป็นที่มาของคำกล่าวประณามหยามหมิ่นว่า
เรา "ขโมย" คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรา "ขโมย" คำสอนของพระเยซูคริสต์
นำมากล่าวมั่วๆแบบไม่มีความรู้เป็นของตนเอง
จนพวกเขามองเราอย่างเหยียดหยามว่า
เป็นคนไม่ดี เป็นคนน่าอับอาย ไม่สง่างาม
ในภาพของ "หัวขโมย" ในสายตาพวกเขาไป
เนื่องจากพวกเขาทั้งหลายไม่รู้ว่า
พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงสัจธรรมได้
เพราะเรียนรู้สัจธรรมจากธรรมชาติที่มีอยู่จริง
โดยใช้พระปรีชาญาณจากจิตปัญญาของพระองค์
พระองค์จึงเป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้งในทุกสิ่ง
สมกับที่ทรงเป็นศาสดาที่เกิดจากโลกโดยแท้
ขณะที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น
พระองค์เสด็จลงมาจุติเป็นมนุษย์โลกเสรี
เพื่อมากล่าวพระโอวาทแก่พวกท่าน
ในพระนามแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จึงเป็นศาสดาที่มาจากพระเจ้า
สัจธรรมที่พระองค์ทรงกล่าวต่อพวกท่าน
ล้วนสื่อคลื่นการคิดรู้มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
ซึ่งองค์ความรู้ที่ทรงรับสื่อมา คือ "อนุตรธรรม"
ที่ศาสดาผู้เกิดจากโลกมิได้กล่าวไว้
ดังนั้น
ในเมื่อเราเองซึ่งเป็นอนุตรธรรมาจารย์
ผู้มาจากพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน
อีกทั้งเราเป็นพระบุตรเอกของพระองค์จริงแท้
ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพยานให้เราได้
ทำไมเราจึงจะกล่าวคำว่า
"พระบิดา" ... "พระเจ้า" ...
"พระบุตรเอก"
เหมือนกับที่องค์พระเยซูเคยตรัสไว้ไม่ได้ล่ะ
เพราะเป็นความจริงของพระบิดากับเราเช่นกัน
คนพวกนี้จะหาว่าเราเป็นหัวขโมยได้อย่างไร
ที่สำคัญคือถ้าหากท่านมีปัญญาญาณรู้ได้ว่า
คำกล่าวสามคำตามตัวอย่างที่เรายกมานั้น
เราก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งเคยกล่าวไว้เองในอดีตล่ะ
ข้อหาหัวขโมยธรรมะพระเยซูจะยังมีอยู่อีกไหม
นอกจากนั้น
หากท่านรู้ว่าเราผู้เป็นอนุตรธรรมาจารย์
เป็นพระบุตรเอกที่พระบิดาส่งมาทำหน้าที่สำคัญ
ในการประกาศอนุตรธรรมที่ยังเป็น "อจินไตย"
ให้ชาวมนุษย์โลกเสรีทั้งหลายได้รับรู้ความจริง
รวมทั้งมาแก้ไขความเชื่อเรื่องนิพพานที่ผิดพลาด
จนเกิดการหลงทางนิพพานกันมาตลอดให้ชัดขึ้น
และการให้เรามา "อ่านโลก" ในพระนามพระองค์นี้
เราจักต้องมีอนุตรปัญญาญาณเท่านั้น
จึงจะสามารถเป็นผู้อ่านโลกอย่างศาสดาอื่นได้
เราจักต้องใช้อนุตรปัญญาญาณเท่านั้น
จึงจะสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เพราะเรามี "อนุตรปัญญาญาณ" เป็นของตน
จึงสามารถเข้าถึงสัจธรรมทุกสิ่งอย่าง
ทั้งในโลกและในจักรวาลนี้ด้วยตนเอง
จนหยิบย้ำนำมาสอนแก่มนุษย์โลกเสรีนี้ได้
ไม่ต้องขโมยธรรมะหรือลอกธรรมะของผู้ใด
ตามที่พี่ๆน้องๆบางคนใส่ร้ายป้ายสีเราก็ได้
เพราะศาสดาของท่านมีปรีชาญาณอันสูงส่ง
จนนำสัจธรรมจากธรรมชาติมาโปรดสัตว์ได้
พระบุตรเอกเช่นเราผู้มีอนุตรปัญญาญาณแห่งตน
ก็สามารถหยิบธรรมชาติมาโปรดสัตว์ได้เช่นกัน
ข้อธรรมะบางข้อจึงมิได้ต่างกันแต่อย่างใด
เพราะเราก็หยิบมาจากภายในกะลาใบเดียวกัน
นอกจากนั้น
เรายังใช้อนุตรปัญญาญาณสื่อสารกับพระบิดา
เพื่อนำพระโอวาทที่เป็นอนุตรธรรม
อันเป็นความจริงนอกกะลามาฝากพวกท่านด้วย
ซึ่งศาสดาของท่านมิเคยกล่าวถึงมาก่อน
ท่านไม่สนใจสัจธรรมที่ท่านยังไม่รู้ว่าไม่รู้
แต่เป็นสัจธรรมที่ท่านต้องรู้กันบ้างหรือ
เอาเวลาที่จะกล่าวเท็จประณามเราให้ผิดบาป
หันมาติดตามเรียนรู้คำสอนของเรา
เพื่อยังประโยชน์ทั้งตนเองและจิตวิญญาณ
กันดีกว่าไหม..........
(ยังมีตอนต่อไป)
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22/03/2021