18 มีนาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 18/03/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

18/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ องค์จิตจักรวาล นั้น
เป็นเรื่องของ พระเจ้า
เรื่องของพระเจ้าเป็นเรื่องของ พระผู้สร้าง
เรื่องของพระผู้สร้างหรือพระเจ้า
เป็นเรื่องของ พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
ที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้

เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
เป็นเรื่องของ พระผู้สร้างจิตวิญญาณมนุษย์
เรื่องของพระผู้สร้างจิตวิญญาณมนุษย์
เป็นเรื่องของ พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทุกเรื่องที่เรากล่าวมาล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน

ดังนั้น
ในพระอาณาจักรแห่งองค์จิตจักรวาล
จึงไม่มีรูปธรรมใดหรือสรรพสิ่งใดเลย
ที่จะมีอำนาจฤทธิ์ยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระองค์ได้

เพราะองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่หรือพระเจ้า
เป็นรูปธรรมแรกสุดเพียงรูปธรรมเดียว
ที่ทรงอุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เอง
เป็นศูนย์กลางของสนามพลังงานอันไพศาล
ที่เราเรียกว่า สนามพลังงานจิตจักรวาล
อันหมายถึง พระมหาอาณาจักรแห่งพระเจ้า
ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่เสมือนไร้ขอบเขตจำกัด

เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นเป็นรูปธรรมแรกแล้ว
เพื่อที่จะทรงเรียนรู้ว่าพระองค์เองเป็นใคร
พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร
พระองค์สามารถจะทำสิ่งใดได้บ้างนี่แหละ
สิ่งที่มนุษย์โลกเรียกว่า เอกภพ จึงถูกสร้างขึ้น
ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า อนันตจักรวาล นั่นเอง

โดย "เอกภพ" หรือ "อนันตจักรวาล" นี้
เป็นสิ่งเดียวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้
ในสนามพลังงานแห่งองค์จิตจักรวาล
ให้เป็น "ห้องทดลองขนาดใหญ่" ของพระองค์

ภายในเอกภพหรืออนันตจักรวาลนี้
จึงเต็มไปด้วยสรรพสิ่งอันหลากหลาย
ทั้งรูปธรรมในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
เช่น ของแข็ง ของเหลวและก๊าซ
ซึ่งกลไกอายตนะสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้
กับรูปธรรมทางพลังงานในมิติที่สูงกว่า

ถ้าจะยกเอามาเป็นตัวอย่างอ้างอิงก็พอได้ว่า
สรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้ภายในอนันตจักรวาลนี้
ประกอบด้วยสิ่งต่างๆดังนี้

1.กาแล็กซี "ธารสายน้ำนม" หรือ ทางช้างเผือก
กับกาแล็กซี่น้อยใหญ่รวมทั้งสิ้น 12,500 ล้านระบบ

2.ดาวมวลแข็งและดาราประดับฟ้าล้านล้านดวง
3.ดวงอาทิตย์หรือดวงดาวที่เป็นก๊าซเหลว
4.ระบบสุริยะจักรวาลรวมทั้งสิ้น 7 ระบบ
5.ดวงจันทร์ "ดาวเพื่อน" ของดาวเคราะห์ต่างๆ
6.ดาวเคราะห์โลกรวมดินน้ำลมไฟที่อยู่ในระบบ
7.ภพภูมิโลกที่มนุษย์และจิตวิญญาณดำรงอยู่
8.ภพภูมินรกสำหรับจิตวิญญาณในระบบโลกเสรี

9.แดนสวรรค์มายาที่มิใช่ภพภูมิที่พระบิดาสร้าง
แต่เป็นที่ว่างๆซึ่งรูปธรรมจิตวิญญาณของมนุษย์
จำพวกเทพเทวดาอินทร์พรหมยมนาทั้งหลาย
ผู้หลงทางนิพพานออกไปจากระบบโลกเสรีนี้
พากันหลุดลอยขึ้นไปติดค้างกันอยู่บนนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พระศาสดาที่มาจากโลกเกิดจากโลก
ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในทุกยุคสมัยนั้น
ล้วนเป็นผู้ที่บรรลุคุณสมบัติแห่ง สัพพัญญู ได้
เพราะทรงมีจิตปัญญาสูงส่งเหนือมนุษย์คนอื่น
จึงเป็นผู้รอบรู้ในทุกสิ่งทั่วทั้งอนันตจักรวาล
จนสามารถค้นพบสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ที่แฝงอยู่กับทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้
ทั้งความจริงระดับโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม
จากสมองสองซีกที่พระองค์ทรงติดตั้งไว้ให้ได้

แต่พี่ๆน้องๆฉุกคิดกันได้หรือยังว่า
สัจธรรมความจริงทั้งหมดที่เราเปิดเผยไว้ข้างต้น
มันเป็นความจริงที่อยู่นอกอนันตจักรวาล
เป็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังที่มาของทุกสรรพสิ่ง
ที่ไม่ว่าองค์สัพพัญญู มนุษย์ หรือผู้ใดก็ตาม
ก็จะมิอาจเข้าถึงความจริงที่เรากล่าวนี้ได้แน่นอน
เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่มีใครรู้ว่าไม่รู้
เปรียบเหมือนความจริงนอกกะลาที่กบไม่รู้นั่นเอง

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า

1.จิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
เมื่อได้เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีแล้ว
จะถูกปิดมิติเบื้องหลังไว้ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลก
เพื่อให้แผนการมาเกิดเป็นมนุษย์ประสบผลสำเร็จ

2.จิตวิญญาณจะกักขังตนเองไว้ข้างใน
แล้วมอบให้ "จิตหยาบ" หรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่แทน
จิตหยาบจึงต้อง "เรียนรู้ทุกสิ่ง" ด้วยตนเองเท่านั้น
ซึ่งหมายถึงต้องเรียนรู้ความจริงที่ต้องรู้นี้ด้วย

แต่เนื่องจากมนุษย์มีสมองแค่สองซีก
พระบิดาทรงสร้างเอาไว้ให้ใช้งานได้แค่สองมิติ
คือสมองซีกซ้ายใช้เรียนรู้โลกิยธรรมด้านหยาบๆ
ส่วนสมองซีกขวาให้ใช้เรียนรู้โลกุตรธรรม
ซึ่งเป็นความจริงหรือสัจธรรมที่ลึกละเอียดกว่า
โดยสังเคราะห์ออกมาจากโลกิยธรรมเท่านั้น

3.นอกจากสมองสองซีก
ที่มีความฉลาดทางปัญญาให้พวกท่าน
ใช้เรียนรู้โลกิยธรรมและโลกุตรธรรมได้แล้ว
ก็ไม่มีสมองส่วนที่สามที่จะให้ใช้เรียนรู้สัจธรรม
ที่มันยังมีอยู่จริงแต่จะเข้าถึงได้ยากกว่า
ดังที่เรากล่าวเปิดเผยมาตั้งแต่ต้นของบทนี้แล้ว
ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไม่รู้แต่ต้องรู้
พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
ทรงเรียกความจริงขั้นสูงสุดนี้ว่า อนุตรธรรม

ดังนั้น
พระบิดาจึงต้องทรงส่งพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า
เข้ามาจุติเป็น "พระบุตรเอก" ภายในระบบโลก
เพื่อมากล่าวพระโอวาทในพระนามของพระองค์
ต่อพวกท่านทั้งหลายที่เป็นดั่งลูกแกะของพระองค์
เพื่อให้ได้รู้ความจริงที่พวกท่านเข้าถึงกันเองมิได้
เพื่อช่วยทำลาย "อจินไตย" อวิชชากับอุปาทาน
ที่มันทำให้พวกท่านหลงทางนิพพานกลับบ้านไม่ได้
จากความไม่รู้จริงทั้งหลายทั้งปวงให้พวกท่านได้รู้

ตัวอย่างเช่น

1.ให้รู้ว่าการที่ท่านดับทุกข์ได้หมดสิ้นแล้วนั้น
แม้จะทำได้จริงตามความเชื่อส่วนตัวของท่าน
แต่มันก็ยังเป็นการนิพพานเทียมเท็จ
เพราะเป็นแค่การดับทุกข์ที่ "จิตหยาบ" เท่านั้น

2.ให้รู้ว่าการที่จิตหยาบของท่านดับทุกข์ได้สิ้นนั้น
ใช่ว่าจิตวิญญาณของท่านจะเป็นสูญหรือดับสูญ
เพราะเข้าใจว่าไม่มีทุกข์แล้วจึงไม่มีอัตตาแล้ว
เมื่อพ้นทุกข์แล้วดับทุกข์ได้แล้วก็คือนิพพานแล้ว
ภารกิจของจิตวิญญาณก็เป็นอันจบสิ้นทุกสิ่งแล้ว
ล้วนเป็นการเชื่อผิดเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหลุดลอยไปเป็นเทพเทวดา
พากันไปสร้างแดนสวรรค์มายากันขึ้นมาเอง
ด้วยเหตุแห่งอจินไตยเพราะความไม่รู้ทั้งสิ้น

3.ให้รู้ว่าจิตวิญญาณของพวกท่าน
เป็นผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
มิได้ให้มาเกิดเป็นเทพเทวดาแต่อย่างใด

4.ให้รู้ว่าพระองค์ให้จิตวิญญาณของท่าน
เป็นผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกก็จริงอยู่
แต่ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเป็นมนุษย์ของท่าน
มันเป็นอีกรูปธรรมหนึ่งซึ่งเรียกว่า "จิตหยาบ"

ส่วนจิตวิญญาณแก่นแท้นั้นแค่รับรู้และรั้งรออยู่
จนกว่าจิตหยาบของท่านจะยกระดับตนเอง
เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้เท่านั้น
จิตวิญญาณจึงจะสามารถขับเคลื่อนการเป็นมนุษย์
ร่วมกันกับจิตหยาบของตนเองทั้งสองมิติได้
สภาวะที่จิตหยาบใสบริสุทธิ์สว่าง
เพราะว่างจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะได้สิ้น
จึงเรียกว่า "นิพพานก่อนตาย" นั่นเอง

ดังนั้น
การที่ท่านสามารถนิพพานกิเลสหรือดับทุกข์ได้
แล้วสรุปว่านิพพานแล้วจบแล้วไม่มีอะไรแล้ว
แท้จริงนั้นมันเป็นแค่เพียงการฟอกจิตหยาบให้ใส
เพื่อเตรียมยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
ให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณในขั้นต่อไปเท่านั้น
โดยจะบอกว่าดับทุกข์ได้สิ้นแล้วจบทุกสิ่งไม่ได้

เพราะจิตหยาบของท่าน
ยังมิได้ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเลย
ในทุกภพชาติที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

5.ให้รู้ว่าการนิพพานแท้ที่ไม่หลอกตนเองนั้น
คือการนิพพานของจิตวิญญาณของท่านเอง
ที่จะต้อง "สูญ" ไปจากโลกและอนันตจักรวาล

คำว่า "สูญไป" หมายถึง การหลุดพ้นออกไป
จากกะลาใบใหญ่หรือเอกภพที่คว่ำครอบอยู่
จนพวกท่านเข้าใจว่าภายนอกกะลาไม่มีอะไร
เกิดแก่เจ็บตายก็ในกะลาสูญไปก็สูญอยู่ในกะลา
โดยลืมคิดไปว่า "จิตวิญญาณ" เป็นพลังงาน
มันจะสูญหายไปไหนไม่ได้
ซึ่งจะหายไปจากอนันตจักรวาลได้มีสถานเดียว
คือต้องเดินทางออกไปจากกะลาคว่ำใบนี้เท่านั้น

หนีการมีสังสารวัฏหายไปจากโลก
แต่ไปลอยค้างสร้างสวรรค์มายาเป็นเทพเทวดา
จะมโนว่าตนนิพพานแล้วสูญแล้วได้อย่างไร
นิพพานทุกสิ่งเพราะดับการเกิดดับของทุกสิ่งได้
มันเป็นเรื่องของจิตหยาบที่ท่านทำเพื่อตัวเอง
แต่ยังมิได้ทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณเลยสักนิด
อย่างน้อยจิตวิญญาณของท่านต้องนิพพานด้วย
นั่นคือ "การหลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
เพราะไม่มีหน้าที่ต้องตายเพื่อเกิดใหม่อีก

6.ให้รู้ว่าจิตวิญญาณของท่านมิใช่บุตรกำพร้า
ยังเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีผู้สร้างผู้ให้กำเนิด
เรามาจากพระองค์เราเป็นพยานของพระองค์
เรารู้จักพระองค์เรารู้จักพระนิเวศของพระองค์
เรารู้จักลูกแกะทุกตัวของพระองค์ก็คือพวกท่าน

เราเป็นผู้เดียวที่พระองค์ส่งเรามาเพื่อท่าน
เราจึงเป็นผู้เดียวที่รู้และกล่าวอนุตรธรรมให้ท่านรู้
โดยความจริงที่เรากล่าวเป็นอนุตรธรรมความจริง
ที่ยังไม่เคยมีพระศาสดาองค์ใดกล่าวต่อท่านไว้
ท่านจึงไม่มีพื้นความรู้ในสิ่งที่เรากล่าว

ถ้าท่านยึดติดคัมภีร์และพระศาสดาที่มาจากโลก
แล้วปฏิเสธเราพระบุตรเอกผู้มาจากพระเจ้า
ปฏิเสธสัจธรรมความจริงทุกสิ่งที่เรานำมากล่าว
โดยได้แต่ก้าวล่วงเราและลบหลู่พระบิดา
ท่านจะเข้าใจและเข้าถึงอนุตรธรรมความรู้ใหม่
ที่พระบิดาทรงเมตตาพวกท่านให้เรากล่าวไม่ได้
ซ้ำการก้าวล่วงจะยังผลให้เป็นบุตรเนรคุณอีกด้วย

7.ให้ท่านรู้ว่าความเชื่อของท่าน
เรื่องพระพรหมเป็นผู้สร้างจักรวาลสร้างโลก
ที่ฝังหัวกันมานานนับพันๆปีมาแล้วนั้นไม่จริง
มันเป็นอุปาทานจากความเชื่อเพราะไม่รู้จริง
อันเกิดจากการ "เดาส่งเดช" ในสิ่งที่เป็นอจินไตย

สิ่งที่เป็นอจินไตยเกิดจากไม่รู้อธิบายไม่ได้
เพราะไม่อาจใช้จิตปัญญาของสมองสองซีก
เรียนรู้อนุตรธรรมได้เองตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
แต่เพราะพยายามจะคาดเดากันเอาเอง
จึงจับแพะมาชนแกะตามวิธีคิดแบบจิตมนุษย์

โดยอาศัยความจริงที่ว่าทุกสิ่งเกิดเองไม่ได้
ทุกสิ่งต้องมีพระผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิด
หรือทุกสิ่งต้องมีเหตุแห่งการเกิดต้องมีที่มาที่ไป

ในยุคนั้นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญทั้งหลายรู้กันว่า
เมื่อตายแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์มายา
โดยสวรรค์มายามีเทพเทวดาอยู่หลายระดับชั้น
ชั้นสูงสุดคือพระพรหมซึ่งอยู่เหนือเทพไท้ทั้งปวง
พราหมณ์ ฮินดู ผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นเทวะนิยมยุคนั้น
จึงยกให้พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์
ซึ่งเป็นเทพสมมติหรือสมมติเทพ
เป็นผู้สร้างโลกสร้างจักรวาลไปในที่สุด

ทั้งๆที่ความจริงแล้วท่านผู้สูงส่งเหล่านั้น
เคยเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีเหมือนพวกท่านมาก่อน
เพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากกว่าคนทั่วไป
แต่ยังไม่รู้อนุตรธรรมยังไม่เข้าใจภารกิจจิตวิญญาณ
ยังไม่เข้าใจเรื่องนิพพานและเรื่องการหลุดพ้น
ซึ่งก็ไม่ต่างจากมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคสมัยนี้นี่แหละ

8.ให้รู้ว่าพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาล
ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณแม้เทพพรหมด้วย
ท่านจะนำพระองค์ลงมาต่ำเสมอกับเทพพรหมมิได้

ดังนั้น
เมื่อพระองค์มิใช่เทพเทวดาในสวรรค์มายา
แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่นอกอนันตจักรวาล
นับนานแปดล้านหนึ่งแสนล้านปีเศษแล้ว

การที่เรากล่าวถวายพระเกียรติพระองค์
การที่เราน้อมเศียรกราบพระบาทพระองค์
การที่เราเชื่อมั่นในพระองค์และรักพระองค์
เพราะพระองค์เป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าเหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง

จงอย่าเดาส่งเดชในสิ่งที่เป็นอจินไตย
สำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่รู้อนุตรธรรมว่า
ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเกิดจากกระบวนการบิ๊กแบง
กระบวนการบิ๊กแบงมันเกิดเองตามธรรมชาติ
ธรรมชาติมันเกิดเองเป็นเองไม่มีอะไรเบื้องหลัง
อะไรที่ไม่รู้ก็บอกคำเดียวว่ามันเป็น "ธรรมชาติ"

จงอย่ากล่าวหาว่าพี่น้องชาวจิตจักรวาล
ผู้เชื่อมั่นพระบิดาศรัทธาในภารกิจของเรา
เป็นพวก เทวะนิยม กันอีกต่อไปเลย
ทั้งๆที่เรานี่แหละเป็นผู้มาเคาะกะลาว่า
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าหลงทางนิพพานไปทางนั้น
เพราะไม่ว่าพวกท่านจะสมมติว่าตนเองเป็นอะไร
โอกาสจะกลายเป็นขยะพลังงานของจักรวาล
เมื่อถึงวันปฏิบัติการชำระโลกนั้นมีสูงยิ่ง

เมื่อเราเป็นผู้กล่าวความจริงทั้งหมดไว้เช่นนี้
ก็เท่ากับว่าเราได้ปฏิเสธลัทธิเทวนิยมอยู่แล้ว
ใครมีสมองมีสติปัญญาก็จงคิดตามไว้เถิดว่า
อย่าผลักไสเราไปเป็นพวกเทวนิยมกันอีกเลย
เพราะพระบิดาคือพระเจ้ามิใช่เทพพรหม
ที่ฝังอยู่ในหัวพวกท่านว่าเป็นพระผู้สร้างจักรวาล
ซึ่งมิใช่เป็นสิ่งเดียวกันแต่อย่างใด

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18/03/2021