09 กุมภาพันธ์ 2563

การก้าวเดินสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การถือศีลปฏิบัติธรรม
บำเพ็ญบุญสุนทานสร้างกุศลกรรมนั้น
ท่านจะเลือกปฏิบัติเฉพาะวันสำคัญ
ที่เกี่ยวข้องกับพระศาสดาของศาสนา
ซึ่งท่านเองยอมรับและยึดถืออยู่ไม่ได้

เพราะมันเป็นการทำบุญปฏิบัติธรรม
ไปตามประเพณีปฏิบัติที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
ท่านมิได้ทำด้วย จิตสามนึก ของท่านเอง
แรงสั่นสะเทือนด้านบวกของจิตหยาบ
จึงไม่สูงพอที่จะสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียว
กับจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านได้
ท่านจึงต้องทำด้วยจิตสามนึกเท่านั้น

นอกจากนั้นการถือศีลปฏิบัติธรรม
บำเพ็ญบุญสุนทานสร้างกุศลกรรมนั้น
มันยังเป็นหน้าที่ของท่านจะต้องปฏิบัติ
ให้เป็น ธรรมชาติวิสัย ในชีวิตประจำวันด้วย

กล่าวคือท่านจักต้อง "ทำ" กันทุกๆวัน
โดยท่านจะงดเว้นไปคราวละหลายๆวัน
แล้วเลือกทำแค่เพียงบางวันนั้นไม่ได้
เพราะการถือศีลปฏิบัติธรรมนั้น
มันเป็นกุศโลบายเพื่อการ "ชำระจิต"
ให้ว่างไปจากกิเลสตัณหาด้วยการรักเพื่อให้
แล้วเปลี่ยนมาเป็นจิตที่ใสพิสุทธิ์แทนนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ในกรณีที่ท่านเชื่อว่า....
การหมั่นสร้างบุญกุศลมากๆ  
ทำความดีงามเยอะๆ
มันจะช่วยให้ท่าน "นิพพาน" แท้ได้นั้น   
ก็เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง

เพราะการสั่งสมบุญมากๆด้วยวิธีบ้าบุญ   
มันจะทำให้ท่านนั้นหลงทางนิพพาน   
เพราะจิตวิญญาณของท่านจะ "หลุดลอย"  
ไปเกิดเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์มายา   
แทนที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลก   
เพราะน้ำหนักตัวของจิตวิญญาณเบาขึ้น  
เนื่องจากบ้าบุญจนไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่ม

ซึ่งการหายตัวไปจากภพภูมิโลก
แต่ยังไปโผล่อยู่บนสวรรค์มายา
โดยยังมีขันธ์ 5 อยู่ครบถ้วนเช่นนี้
จิตวิญญาณท่านก็แค่นิพพานไปจากโลก
หายไปจากการมีสังสารวัฏในภพภูมิโลก
แต่ตัวตนนั้นยังดำรงอยู่ใน "อนันตจักรวาล"

เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายอยู่เสมอว่า....
การหลุดลอยไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา   
ซึ่งเป็นภพภูมิที่พระบิดามิได้สร้างไว้นั้น  
มันเป็น นิพพานเทียมเท็จ เท่านั้นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า

นอกจากท่านจะต้องสั่งสมบุญกุศล  
ด้วยวิธีถือศีลปฏิบัติธรรมบำเพ็ญทาน  
โดยไม่ทำเฉพาะแค่วันพิเศษเพียงไม่กี่วันแล้ว  
การหมั่นขึ้นเขาเข้าป่าปลีกวิเวกเพื่อนั่งสมาธิ
ตามมรรควิธีของคนนำทางตาบอดเขาพาทำ
ก็มิใช่วิธีที่จะช่วยให้ฆราวาสเช่นท่าน
บรรลุมรรคผลสูงสุด คือ หลุดพ้นนิพพานได้
แม้ท่านจะเป็นคน "บ้าบุญ" ไม่น้อยหน้าใคร

เพราะการปฏิบัติเท็คนิกสมาธิที่ท่านทำอยู่
เป็นการฝึกทักษะการทำจิตให้สงบเท่านั้น

เพราะจิตที่สงบระงับมันจะทำให้จิตว่าง
โดยว่างไปจากทุกข์ที่ท่านไม่พึงประสงค์ได้
ซึ่งท่านทำแล้วปฏิบัติแล้วก็ถูกจริตจึงชอบทำ

แต่ท่านลองสังเกตด้วยตนเองก็ได้ว่า
จิตท่านมันจะว่างจากทุกข์ได้ชั่วคราวเท่านั้น
เพราะอะไรรู้ไหมล่ะท่าน....

ก็เพราะปัญหาที่เป็นเหตุแห่งทุกข์มันยังอยู่
มันยังมิได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงอะไรเลย
เมื่อออกจากสมาธิมาอยู่ในโลกแห่งความจริง
ท่านก็ยังหนีปัญหาของท่านไม่พ้น

เมื่อนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตให้สงบได้แล้ว
ท่านต้องสามารถทำจิตให้สงบได้โดยไม่ทุกข์
เมื่อต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคมให้ได้ด้วย
เพราะจิตของท่านจะสงบนิ่งเมื่อยามนั่งหลับตา
ขณะอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวไม่ได้
ท่านก็ยังมีโอกาสก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีก
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณก็ยังซมซานดั่งเดิม

แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตรงทาง  คือ  ท่านต้องไม่ก้าวตามคนนำทางตาบอด  
ด้วยการปฏิบัติในแบบที่ท่านทำอยู่   

สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือ....

1.หมั่นสร้างบุญกุศลด้วยการทำแต่กรรมดี
ด้วยจิตสามนึกของท่านเองว่ามันเป็นหน้าที่
มิใช่ทำบุญเพราะอยากไปสวรรค์
ไม่ทำชั่วเพราะกลัวตกนรกกันอีกต่อไป
โดยทำจิตให้ว่างไปจาก "สวรรค์-นรก" เสียให้สิ้น
มีความสุขอยู่กับความดีงามที่ตนทำก็พอแล้ว

2.ถ้าจะนั่งสมาธิก็ให้ทำที่บ้านได้
เมื่อใดที่จิตของท่านต้องการความสงบ
เพราะทนกับความทุกข์ที่เผชิญอยู่ไม่ไหว
แต่อย่าหลงเชื่อว่า...
การนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่คนเดียว
ไม่ว่าจะภาวนาอะไรอย่างไรก็ตาม
ถ้าท่านทำเป็นประจำแล้ว
มันจะช่วยให้จิตวิญญาณท่านนิพพานได้
เพราะเป็นเรื่องงมงายเป็นเรื่องไม่จริง
เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลเลย

เพราะวิธีเท็คนิกสมาธิที่นั่งหลับตานั้น
เป็นการใช้อำนาจเหนือนำจิตฝ่ายต่ำ
ด้วยวิธีที่เรียกว่า "ใช้จิตข่มจิต" ฝ่ายต่ำไว้
มิให้มันพลุ่งพล่านวุ่นวายฟุ้งซ่านไร้สาระ
ซึ่งไม่มีผลในการ "ชำระจิต" ฝ่ายต่ำอันใดเลย

จริตที่เหลวไหลนิสัยอะไรที่ไม่ดี
ท่านจะไม่สามารถชำระมันได้
ด้วยวิธีนั่งเท็คนิกสมาธิแน่นอน
ต่อให้ฝึกมานานกี่เดือนกี่ปีมาแล้วก็ตาม

ท่านลองสังเกตหรือตรวจสอบ "คนนำทาง"
ผู้เชี่ยวชาญด้านเท็คนิกสมาธิดูบ้างก็ได้ว่า
ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายเหล่านี้
ยังมีปัญหากับอารมณ์ขยะของท่านหรือเปล่า
ยังมีโอกาสสติแตกบันดาลโทสะอยู่หรือเปล่า
ทั้งๆที่เป็นครูสมาธิและเป็นคนนำทางมานาน

ถ้าจิตยังไม่ใสใจยังไม่สวย
ท่านจะไม่สามารถคืนความใสพิสุทธิ์
ให้แก่จิตวิญญาณของท่านได้
หมายความว่าแม้จะปฏิบัติธรรมมานาน
แต่ก็จะนิพพานไม่ได้แน่นอน

3.ให้ท่านหันมาใช้มรรควิถีจิตจักรวาล
ด้วยการ "ถือครองมหาสติ" กันดีกว่า
โดยท่านไม่ต้องขึ้นเขาเข้าป่าปลีกวิเวก
เพราะมันเป็น #ธรรมชาติสมาธิ
ที่กลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันของท่านเอง

มหาสติ หรือ ธรรมชาติสมาธิ
ประกอบด้วย สติทั้งสาม คือ

1.รู้สติ คือ
รู้ว่าขณะนี้ทำอะไรอยู่
รู้ว่าเมื่อครู่ทำอะไรมา
รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
2.มีสติ คือ
รู้รับรู้ รู้รับเอา
รู้รับรู้ รู้ไม่รับเอา
ไม่รับรู้ ไม่รับเอา (อุเบกขา)
3.ใช้สติ คือ
ฉลาดนึก ก่อนคิด
ฉลาดคิด ก่อนพูด
ฉลาดคิด ก่อนทำ

โดยใช้ Parinya Model 1 :
ว่าด้วย "กฎแห่งความถูกต้อง" 6 ถูก
เป็นเครื่องตรวจวัดความถูกต้อง
ก่อนจะแสดงออกหรือกระทำต่อผู้อื่น

ซึ่งต้องถูกต้องทั้ง 6 ถูกเท่านั้น
ท่านจึงจะแสดงออกได้โดยปลอดภัย
จากกฎแห่งกรรมอย่างสิ้นเชิง  กล่าวคือ
1.ถูกคน 
2.ถูกวิธี 
3.ถูกสถานที่
4.ถูกเวลา 
5.ถูกต้อง และ 
6.ถูกใจทั้งสองฝ่าย

"มหาสติ"  หรือ  สติมีองค์สามนี้
เป็น "ธรรมชาติสมาธิ" ที่จะช่วยให้พ้นกรรมได้
และยังจะช่วยชำระจิตท่านให้ใสสวยอีกด้วย 

4.ประการสุดท้ายที่ท่านควรทำ คือ
แสดง "ปณิธานแห่งนิพพาน" ให้ชัดเจน  คือ
รักใครก็ได้แม้เขาจะทำตัวไม่น่ารัก
ให้อภัยได้แม้ว่าเขาทำตัวไม่น่าให้อภัย
โดยไม่ก้าวล่วงเขากลับคืน
แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายทำร้ายท่านก่อนก็ตาม

ให้ท่านยึดถือปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาล
ทั้ง 4 ประการหลักๆที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
นี่แหละ...คือ
" การก้าวเดินสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง "
โดยท่านสามารถเดินได้ด้วยตัวท่านเอง

มิต้องเดินตามใคร  มิต้องให้ใครลากจูง
...มิหลงทางไปไหนอีกต่างหากด้วย...

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
09/02/2020