สนทนาประสาจิตจักรวาล
19/01/2021
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ในความเป็นมนุษย์ของท่านนั้น
พระบิดาทรงกำหนดให้เครื่องยนต์แห่งกรรม
มีดวงตาให้ท่านใช้อยู่ถึงสองข้าง
ซึ่งท่านจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้
ก็ต่อเมื่อตาของท่านต้องเป็นปกติ
และจะมองเห็นได้เมื่อมีความสว่างเท่านั้น
ดังนั้น
การที่ตาของท่านมองเห็นได้เมื่อมีแสงสว่าง
ถ้าไม่มีแสงสว่างตาของท่านก็มองไม่เห็นนั้น
ดวงตาสองข้างของท่านจึงเป็นดั่งดวงประทีป
ซึ่งเป็นกลไกชิ้นสำคัญยิ่งที่ท่านขาดมันไม่ได้
โดยท่านจะปล่อยให้มันมืดดับไม่ได้เลย
เพราะท่านจะมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ถ้าดวงประทีปสว่างไสวท่านก็จะเห็นได้ทุกสิ่ง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
หากเปรียบจิตหยาบของท่านคือตัวท่าน
แสงสว่างที่จิตท่านต้องการในการมองเห็น
ก็คือ "แสงสว่างทางปัญญา" เพื่อการคิดรู้
โดยแสงสว่างทางปัญญานี้จะได้จากสมอง
ที่สั่นสะเทือนร่วมกันกับจิตของท่านนั่นเอง
คนที่ไม่รู้จักคิดคือคนโง่
คนโง่ก็คือคนที่มีความมืดบอดทางปัญญา
ที่ว่าโง่เพราะมีปัญญาของสมองอยู่แต่ไม่ใช้
ซึ่งต่างจากคนที่คิดอะไรไม่ค่อยออก
คิดอะไรไม่ค่อยจะได้ หรือ คิดได้ช้ากว่าคนอื่น
คนพวกนี้ดีกว่าหน่อยเพราะเป็นผู้ด้อยปัญญา
คือรู้จักคิดรู้จักใช้แล้วแต่ยังขาดความสามารถ
ผู้ที่มีความสามารถในการใช้ปัญญาของสมอง
คือผู้ที่มีแสงสว่างอยู่ในตัวเอง
ทำให้การก้าวย่างในชีวิตประจำวัน
ไม่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะไม่ตกหลุมตกร่อง
ไม่ออกนอกลู่นอกทางจนตกเหวเสียหาย
เพราะสามารถมองเห็นเส้นทางที่ย่างเดิน
จนก้าวถึงที่หมายปลายทางได้ในไม่ช้า
เราหมายความว่า
ท่านทั้งหลายต้องฉลาดในการดำเนินชีวิต
โดยใช้สติปัญญาเป็นเครื่องมือนำทาง
แทนการใช้อารมณ์นำพฤติกรรมนั่นเอง
เพราะการใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตนั้น
ไม่ต่างจากท่านกำลังเดินอยู่ในความมืด
นอกจากจะมองไม่เห็นทางที่ย่างเดิน
มองไม่เห็นเป้าหมายปลายทางที่จะไปแล้ว
ท่านก็จะมองไม่เห็นอุปสรรคขวากหนาม
ที่ควรจะข้ามผ่านข้ามพ้นอีกต่างหากด้วย
ในการเป็นมนุษย์ของท่าน
จิตวิญญาณแก่นแท้ตัวจริงของท่านเอง
จึงปรารถนาจะให้จิตหยาบของตน
บากบั่นหมั่นเพียรขยันเรียนรู้โลกในทุกสิ่ง
ที่มันผันผ่านเข้ามาเป็นประสบการณ์ชีวิต
เพื่อสั่งสมภูมิธรรม ภูมิรู้ และ ภูมิปัญญา
เอาไว้เป็นเสบียงของจิตวิญญาณของท่าน
ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นนิพพานในอนาคต
ท่านจึงต้องรู้ว่า
จะใช้สมองทั้งสองซีกในการ "ส่องโลก"
เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในชีวิตประจำวันอย่างไร
ซึ่งมันหมายถึงการเรียนรู้ที่จะจุดตะเกียง
สร้างแสงสว่างให้ตนเองโดยแท้
คนฉลาดจะไม่ใช้ปัญญาไปตามยถากรรม
หมายถึงนึกคิดอะไรๆไปแบบอัตโนมัติ
แต่จะเป็นผู้กำหนดนึกกำหนดคิด
ในสิ่งที่ตนเองอยากรู้อยากเรียนรู้เท่านั้น
โดยรู้ว่าถ้าตนต้องการคำตอบในเรื่องใด
ตนจะต้องใช้ความคิดแบบไหนอย่างไร
การปฏิบัติตนเช่นว่านี้
มันจะช่วยให้ท่านฉลาดใช้ปัญญามากขึ้น
โลกของท่านจะค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตของท่านก็จะรุ่งโรจน์โชติช่วงมากขึ้น
ท่านต้องจำไว้เสมอว่ายิ่งสว่างมากเท่าใด
ท่านจักมองเห็นอะไรๆยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น
แปลว่าความฉลาดมากๆของท่าน
มันจะช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิต
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณโดยแท้
แต่ท่านจักต้องระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า
สมองของท่านมีอยู่สองซีก
ไม่ต่างจากดวงตาของท่านที่มีสองดวง
เวลาท่านมองสิ่งใดท่านต้องมองสิ่งนั้นๆ
ด้วยดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกันเสมอ
จะใช้ตาข้างหนึ่งไปมองหาอย่างหนึ่ง
ขณะอีกข้างหนึ่งไปมองหาอย่างอื่นไม่ได้
สมองสองซีกก็เช่นกัน
เมื่อท่านใช้มันขบคิดเรื่องใดก็ตาม
ท่านจักต้องใช้สมองคิดมันทีละเรื่อง
เพื่อให้บรรลุประสิทธิผลการคิดสูงสุด
แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ได้เวลาแล้ว
ที่ท่านจะต้องทำเพื่อจิตวิญญาณของตน
เพราะท่านได้ทำเพื่อจิตหยาบมานานโขแล้ว
เนื่องจากพระบิดาได้ทรงพิพากษาโลก
เพื่อจะเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
โดยท่านต้องช่วยนำพาจิตวิญญาณของท่าน
หลุดพ้นนิพพานออกไปจากอนันตจักรวาล
ก่อนวันเวลาสุดท้ายของการเปลี่ยนยุคให้ทัน
ถ้าตาข้างหนึ่งยังแสวงหาทรัพย์สมบัติ
ขณะตาอีกข้างหนึ่งจะแสวงหาพระบิดา
เราขอบอกท่านเลยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
ยิ่งตาทั้งสองข้างของท่านยังบ้าสมบัติอยู่
ท่านก็จะยิ่งนำจิตวิญญาณไปถึงพระองค์มิได้
ขอท่านทั้งหลายจงโปรดใคร่ครวญ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/01/2021