31 ธันวาคม 2563

สนทนาประสาจิตจักวาล 31/12/2020

สนทนาประสาจิตจักวาล

31/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

วิบัติแก่โลกนี้มีอยู่อย่างหนึ่ง
ซึ่งยังผลให้คนส่วนใหญ่ที่หลงก้าวตาม
และคนที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงตาม
จักพากันวิบัติทั้งหมดทั้งสิ้น

นั่นคือการหลงทางนิพพาน
โดยไปหลงสวรรค์มายา
ที่พระบิดาฯมิได้ทรงสร้างว่า
เป็นดินแดนของผู้หลุดพ้นแล้ว

โดยนิยามว่า "หลุดพ้น" ของพวกเขา
คือพ้นไปจากการมาเกิดเป็นมนุษย์
พ้นจากการมีสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว
ตามความเชื่อผิดๆที่คิดกันเองเออเอง

ทั้งๆที่การหนีทุกข์ด้วยการหนีการเกิดนั้น
เป็นการทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณของตนแท้ๆ
เพราะการตายแล้วเกิดใหม่เพื่อมีภพชาติใหม่
เป็นความต้องการทางจิตวิญญาณ
ที่จะ "รับโอกาส" เซ็ทซีโร่ในภพชาติปัจจุบัน
เพื่อย้อนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ในภพชาติใหม่
เพื่อการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ให้สำเร็จให้จงได้
ด้วยการไม่ก่อกรรมใหม่แก้ไขกรรมเก่าให้ลุล่วง
จะได้มีเวลาที่จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ซึ่งขันอาสาพระบิดาและสัญญากับพระองค์ไว้
ให้สำเร็จลุล่วงให้เร็วที่สุดให้จงได้นั่นเอง

นอกจากนั้น
การพยายามไม่ก่อกรรมใหม่ของพวกนักบวช
ด้วยการปลีกวิเวกเพื่อครองสันโดดอยู่คนเดียว
และเคร่งในการปฏิบัติบังคับจิตให้อยู่ในโอวาท
โดยลืมไปว่า "กรรมเก่า" ทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่จิตวิญญาณของตนถือติดตัวมาจากอดีตชาตินั้น
ยังมิได้ทำการแก้ไขยังมิได้เรียนรู้อะไรเลย
ยังมิได้จัดการชำระให้เป็น "โมฆะกรรม" อีกด้วย

ดังนั้น
เมื่อตายไปจากภพชาติปัจจุบัน
จิตวิญญาณจึงมีน้ำหนักมวลน้อยกว่ามนุษย์คนอื่นๆ
ที่ต่างยังคงก่อเวรกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้นอยู่รายวัน
แถมกรรมเก่านั้นก็ยังแก้ไขไม่ได้ยังคงสอบตกกันอยู่
ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มีกรรมมากกว่าเหล่านี้
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก
เพราะมีน้ำหนักมวลมากจนโลกเหนี่ยวรั้งลงมาได้

แต่จิตวิญญาณนักบวชที่มีน้ำหนักตัวเบากว่า
ดาวเคราะห์โลกก็จะไม่อาจเหนี่ยวรั้งลงมาได้
จึงต้องล่องลอยกันอยู่เป็นชั้นๆเหมือนก้อนเมฆ
ก้อนที่มีน้ำหนักมากกว่าก็จะลอยต่ำกว่า
ที่มีน้ำหนักเบากว่าเมฆก้อนนั้นก็จะลอยได้สูงกว่า
สมมติเทพเทวดาก็ล้วนไม่ต่างจากระดับชั้นของเมฆ
ซึ่งสวรรค์มายาเหล่านี้เขาก็มีแบ่งเป็นชั้นๆเช่นกัน
จงดูระดับชั้นของก้อนเมฆเป็นตัวอย่างเอาไว้เถิด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การหลงทางนิพพานโดยหลุดลอยขึ้นไป
ติดค้างแขวนกันอยู่บนสวรรค์มายานั้น
ไม่ต่างจากการหนีเสือปะจระเข้นั่นแหละ
คือต้องการหนีทุกข์ออกไปจากระบบโลก
แต่กลับไปเผชิญทุกข์อยู่บนสวรรค์มายาแทน
ซึ่งทุกข์บนนั้นมันทุกข์ยิ่งกว่าเสียอีก

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ที่ตนลอยค้างอยู่ตรงนั้นมันเป็นที่ไหน

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ตนจะลอยสูงขึ้นไปอีกได้อย่างไร

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นมันจะเป็นอย่างไร

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ตนจะกลับลงมายังโลกอีกได้อย่างไร

ทุกข์เพราะว่า
ไม่สามารถทำอะไรๆอย่างที่เคยทำ
เมื่อครั้งที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมแบบมนุษย์ได้

แต่ยังมีสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่าทุกข์อีกด้วย
เป็นต้นว่า......

1.การหนีออกไปจากการเกิดเป็นมนุษย์โลก
ไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาโดยไม่รู้อนาคตนั้น
เป็นการผิดสัจจะต่อพันธะสัญญา 6
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาฯก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งการผิดพันธะสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น
มันเป็นความผิดอันใหญ่หลวงนัก

2.เส้นทางการหลุดลอยสู่สวรรค์มายานั้น
มิใช่เส้นทางของการหลุดพ้นนิพพานที่แท้จริง
แม้พวกเขาจะพยายามเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ
ด้วยการปฏิบัติฌานสมาบัติเพื่อลดน้ำหนักตัว
ก็ไม่รู้ว่าจะไปสุดทางตรงไหนเพื่อไม่ต้องไปต่ออีก

3.ถ้าพวกเขายังคงหลุดลอยค้างอยู่บนนั้น
เมื่อโลกถึงวันสิ้นยุคแล้วพระบิดาจะทรงชำระโลก
เพื่อปรับสมดุลใหม่ให้โลกมีอำนาจมากกว่าเดิม
ผู้หลุดลอยทั้งหลายเหล่านี้จะมีสภาพเป็น "ขยะ"
ที่จะต้องถูกชำระให้หมดสิ้นไปจากอนันตจักรวาล
อันหมายถึงจักต้องถูกระเบิดทิ้งทั้งหมด

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ทั้งสามประการที่เรากล่าวมานี้
เป็นความทุกข์ที่ผู้หลุดลอยทั้งหลายยังไม่รู้

หากท่านรู้ความจริงที่เรากล่าวไว้ในบทนี้แล้ว
ท่านยังจะก้าวตามประดาคนนำทางตาบอด
เพื่อหนีทุกข์ซึ่งเป็นอัตตาอันเกิดจากมายาในจิต
จนต้องทำผิดสัจจะต่อพระบิดาฯ
จนทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนสิ้นอนาคต
ท่านก็จงใช้สติปัญญาคิดพิจารณากันเถิด
เวลาที่มีให้คิดให้ปฏิบัตินั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/12/2020