20 มกราคม 2563

คนที่ถูกเรียกว่างมงาย




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ยังประพฤติตน
ตามที่เราจะกล่าวต่อไปนี้กันอยู่
ไม่ว่าในข้อใดข้อหนึ่งหรือจะสักกี่ข้อก็ตาม
มันจะเป็น "ตัวชี้วัด" ความงมงายของท่าน
ซึ่งสมควรจะต้องเร่งปรับ "ทัศนคติ" โดยเร็ว

เพราะมันจะทำให้มรรคาแห่งนิพพาน
ต้องมีอันสะดุดจนท่านหลุดพ้นออกไปไม่ได้
เหมือนๆกับหลายภพชาติที่ผ่านมานั่นแหละ

พฤติกรรมที่จะทำให้ "หลุดพ้น" ไม่ได้
เท่าที่พอจะนำมาขยายความได้มีดังนี้

1.ยอมรับนับถือศาสนาใดแล้ว
ท่านจะทำตัวต่อต้านศาสนาอื่นอย่างสุดลิ่ม
โดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปศาสนาอื่นที่ตนต่อต้านนั้น
มีอะไรที่ไม่ดีมีคำสอนใดที่ไม่ถูกต้องบ้าง

2.ยอมรับนับถือศาสนาใดแล้ว
ท่านจะไม่ยอมสนใจเรียนรู้
สัจธรรมคำสอนศาสนาอื่นๆอีกเลยว่า
ศาสนาอื่นๆนั้นเขาสอนกันเรื่องอะไร
ศาสนาอื่นๆนั้นเขามีแก่นคำสอนว่าอย่างไร

3.ยอมรับนับถือศาสดาพระองค์ใดแล้ว
ท่านก็จะปฏิเสธพระศาสดาพระองค์อื่นๆ
โดยพร้อมที่จะต่อต้านพระศาสดาพระองค์อื่นๆ
ทั้งด้วยวาจาที่ก้าวร้าวและจิตใจที่ก้าวล่วงเสมอ
ซึ่งเป็นการกระทำผิดบาปขั้นรุนแรง
ต่อศาสดาผู้สมดุลทางจิตวิญญาณอย่างไร้สติ
ทั้งๆที่ตนเองยังมีบารมีต่ำต้อยน้อยนิดเท่านั้น

4.ยอมรับนับถือศาสนาใดแล้ว
ก็จะทำตัวเกะกะระรานคนที่เขานับถือศาสนาอื่น
ด้วยการใช้วาจาก้าวล่วงจ้วงจาบหยามหมิ่น
โดยมองเห็นคนต่างศาสนาเป็นดั่งศัตรูของตน
ทั้งๆที่ไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวต่อกันมาก่อนเลย
แต่ท่านก็อดไม่ได้ที่จะใช้วาจาก้าวล่วงพวกเขา
ด้วยการต่อต้านหรือโจมตีคนที่ต่างศาสนานั้น
อย่างไม่กลัวความผิดบาป

5.ท่านนำเอาศาสนาที่ตนยอมรับ
กับพระศาสดาที่ตนนับถือศรัทธา
มาเป็นเครื่องแบ่งแยกคนนอกรีตกับคนในรีต
โดยนำเอาความเชื่อที่แตกต่างทางศาสนา
มาสร้างความแบ่งแยกจากการเป็นหนึ่งเดียวกัน
จนยังผลให้สังคมโดยรวมขาดสันติสุข

6.เมื่อท่านยอมรับนับถือศรัทธา
พระศาสดาองค์ใดอยู่ก็ตาม
ท่านก็จะปักใจเชื่อว่าพระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นพระศาสดาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกแล้ว
ไม่มีพระศาสดาหน้าไหนจะเหนือกว่าอีกแล้ว
โดยใช้ความชอบความเชื่อเป็นเครื่องตัดสิน
ทั้งๆที่พระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสำคัญเท่ากัน
มีพระคุณต่อมนุษย์และโลกทัดเทียมกันทุกยุค
จึงไม่มีพระองค์ใดสำคัญพิเศษกว่าใครเลย
แต่ท่านกลับไม่คิดเช่นว่านี้

7.เมื่อท่านยอมรับนับถือศาสนาใด
ท่านก็จะเชื่อตามคนนำทางสอนอย่างว่าง่าย
ท่านก็จะเชื่อตามข้อความที่ระบุในพระคัมภีร์
ทั้งๆที่พระศาสดามิได้บันทึกเองแต่อย่างใด
ท่านไม่กล้าที่จะคิดตามเพื่อทำความเข้าใจ
ก่อนที่จะเชื่อตามแล้วนำไปปฏิบัติในชีวิตจริง
เหตุที่ท่านไม่กล้าที่จะคิดต่าง
ก็เพราะโดยส่วนตัวเกรงกลัวว่าจะผิดบาป
หรือเพราะคิดว่าตนเป็นคนเบาปัญญา
คงมิอาจเข้าถึงสัจธรรมที่ศาสดาสอนได้
เมื่อท่านเชื่อตามแล้วจึงมักจะทำไปตามนั้น
โดยไม่ถามหาเหตุผลแต่อย่างใด

8.เมื่อท่านยอมรับนับถือศาสนาใด
ท่านก็จะยึดตามความในคัมภีร์ของศาสนานั้น
ถ้าสัจธรรมใดในคัมภีร์ของศาสนานั้น
มิได้ถูกบันทึกไว้หรือมิได้แสดงไว้ให้อ้างอิง
ท่านก็จะปฏิเสธข้อสัจธรรมนั้นไปทันที
โดยเหตุผลที่ชอบยกมาอ้างอยู่เสมอก็คือ
ประโยคที่ว่า "ศาสดามิได้สอนไว้
ทั้งๆที่พระศาสดาเสด็จมาจุติกันคนละยุค
แต่ละยุคมนุษย์ก็มีความต้องการด้านสัจธรรม
ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญแตกต่างกันออกไป
พระศาสดาแต่ละยุคแต่ละพระองค์
จึงมีเบื้องลึกแห่งสัจธรรมคำสอนที่แตกต่าง
นอกจากนั้นในแต่ละยุคสมัย
พระศาสดาก็มีเวลาประกาศสัจธรรมกันสั้นๆ
จึงมิอาจกล่าวสัจธรรมให้ครอบจักรวาลได้
คนที่ฉลาดเรียนรู้จึงจะยึดถือครูคนเดียว
เอาไว้ในดวงใจตนโดยไม่สนครูคนอื่นนั้นมิได้

9.เมื่อท่านยอมรับนับถือศาสนาใดแล้ว
ท่านก็จะเชื่อตามตัวอักษร
ในคัมภีร์ศาสนานั้นทุกถ้อยกระทงความ
โดยมักจะยกเอาคำสอนในคัมภีร์มาอ้างอิง
อย่างเต็มปากเต็มคำเพราะมั่นใจมาก
ซึ่งท่านมิได้ฉุกคิดบ้างเลยว่า
พระศาสดามิได้ทรงเขียนคัมภีร์นั้นด้วยตนเอง
เป็นแค่เพียงศิษย์สาวกแต่ละคนจดจำกันมา
แล้วนำมาบูรณาการขึ้นเป็นคัมภีร์ในภายหลัง
ดังนั้น
โอกาสที่พวกเขาจะจดจำกันมาผิดพลาด
โอกาสที่พวกเขาจะบันทึกบกพร่อง
ในอันที่จะทำให้สัจธรรมถูกบิดเบือน
จนผิดเพี้ยนไปจากเดิมมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง
โดยท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ขาดการตระหนักรู้

10.เมื่อท่านยอมรับนับถือศาสนาใดแล้ว
ท่านก็จะเชื่อตาม "คนนำทาง" ของศาสนานั้น
โดยท่านจะปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งพระศาสดา
ทั้งๆที่แท้แล้วพวกเขาเป็นแค่ "คนอาสา"
ที่จะนำพาจิตวิญญาณของท่านหลุดพ้นเท่านั้น
ท่านเป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในคนนำทาง
โดยไม่รู้ว่าพวกเขาเป็น "คนนำทางตาบอด"
ที่ชักพาให้ท่านเป็นคน "งมงาย"
เพราะพวกเขาจะเน้นสอนท่านให้เชื่อตาม
ในทุกคำกล่าวที่สั่งสอนท่าน
โดยจะยกเอาพระศาสดามาอ้างอิงว่า
คำกล่าวคำสอนนั้นเป็น "พระวจนะ"
ทั้งๆที่มีอยู่หลายบทหลายตอน
เป็นวจนะเทียมเท็จที่พวกเขาคิดเองเออเอง
โดยพระศาสดามิได้กล่าวสอนไว้เช่นนั้นเลย
นอกจากนั้น
ในบางบทบางตอนของคำสอนที่ไม่ถูกต้อง
ก็เกิดจากการ "ตีความผิด" ของคนนำทางเอง
เพราะพวกเขามีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
ซึ่งได้ถ่ายทอดต่อๆกันมาอย่างยาวนานแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่มีพฤตินิสัยสอดคล้อง
กับจำนวน 10 ข้อที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ไม่ว่ามันจะตรงกันกับตัวท่านสักกี่ข้อก็ตาม
เราก็จะขอกล่าวตามความจริงให้ท่านรู้ว่า
ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่จะต้องนำพาตนเอง
ออกไปจาก "ความงมงาย" ให้เร็วที่สุด

เพราะคนที่ถูกเรียกว่างมงายก็คือ
คนที่มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง
แต่ไม่รู้จักนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
โดยมักจะเชื่อตามทันทีที่ได้ยิน
หรือมักจะปฏิเสธทันทีที่ได้ฟัง
ทั้งๆที่ตนยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยซ้ำ

สิ่งที่จะช่วยให้ห่างไกลจากความงมงายก็คือ
ท่านต้องรีบติดอาวุธทางปัญญาให้ตนเอง
เพื่อทำให้ตนเอง "ฉลาดใช้ปัญญา" ของสมอง
ด้วยการฉลาดนึก ฉลาดคิด ฉลาดฟัง
ฉลาดพูด ฉลาดถาม ฉลาดทำ ฉลาดมองโลก
โดยรวมเรียกว่า "ฉลาดเรียนรู้" นั่นเอง

คนที่จะได้ชื่อว่าฉลาดเรียนรู้นั้น
จะต้องมีคุณสมบัติ 9 ประการ
ดังต่อไปนี้ คือ
1.จะต้องเป็นคนช่างสังเกต
เป็นคนหูไวตาไว
2.จะต้องเป็นคนใจกว้าง
พร้อมที่จะรับฟังคนอื่นเสมอ
3.จะต้องเป็นคนไม่ปฏิเสธความรู้ที่แตกต่าง
4.
จะต้องเป็นคนที่ตั้งคำถามตนเองได้
5.
จะต้องเป็นคนมีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
6.
จะต้องเป็นคนไม่หลงตัวเอง ไม่อวดรู้
ไม่ทำตนเหมือนกบในกะลาครอบ
7.จะต้องเป็นคนที่รู้จักฟังให้มากกว่าพูด
8.
จะต้องเป็นคนที่ฉลาดมองโลก
9.
จะต้องฝึกฝนตนเอง
ให้มีทักษะในการใช้สมองทั้งสองซีก
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/01/2020