05 เมษายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 5/04/2023

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ถ้าไม่รู้ว่าปลายทางที่คุณจะไปมันอยู่ที่ไหน
คุณก็ย่อมไม่รู้ว่า “เส้นทาง” ที่จะไปคือทางใด
ที่สำคัญคือถ้าคุณ “หลงผิด” หรือคิดเข้าใจผิด
ในจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการจะไปแล้ว
เส้นทางที่คุณจะก้าวเดินไปจึงย่อมผิดทางด้วย
นี่คือความจริงที่จริงแท้ในระดับโลกียะธรรม
ที่พวกคุณทุกคนล้วนเข้าใจกันดีอยู่แล้ว
 
ดังนั้น
ถ้าคุณปรารถนาจะกลับบ้านแดนสุญตา
ซึ่งเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้าที่คุณจากมา
คุณก็จำเป็นจะต้องรู้ให้ได้ว่าที่นั่นมันคือที่ไหน
หากจะไปถึงที่นั่นได้จะต้องไปในทิศทางใด
สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าจะไปถึงนั่นได้อย่างไรด้วย
 
เนื่องจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงทราบดีว่าความจริงที่ว่านี้เป็นอนุตรธรรม
เป็นองค์ความรู้ของจิตวิญญาณของพวกคุณ
ซึ่งขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
“จิตหยาบ” ของคุณจึงไม่อาจรับรู้ความจริงได้
นอกจากพระบุตรเอกที่ทรงส่งเข้ามาบอกกล่าว
เพื่อเล่าความจริงที่มนุษย์ต้องรู้ให้ได้รู้เท่านั้น
 
พระบุตรเอกที่จะเข้ามาบอกกล่าวเล่าความได้
จึงต้องเป็นพระศาสดาที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
เพราะพระบุตรเอกผู้ขันอาสามาจากพระเจ้า
จะเข้ามากล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
โดยใช้วิธีการสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิต
ที่เรียกเป็นภาษาสากลว่า Vertical Telepathy
คือการสื่อสารทางจิตกับพระเจ้าในแนวดิ่ง
พระบุตรเอกทุกพระองค์มิได้กล่าวเองตามใจตน
อย่างที่ใครหลายคนคิดกันแต่อย่างใด
 
ด้วยเหตุนี้เอง
พระบุตรเอกในกาลอดีตจึงทรงกล่าวไว้ว่า
ถ้าใครจะเข้าถึงพระเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
ก็จะต้องใช้เส้นทางผ่านพระบุตรเอกเท่านั้น
เนื่องจากทุกสิ่งที่พระบุตรเอกกล่าวออกมา
เป็นคำกล่าวตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น
หากกล่าวเป็นภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายก็คือ
พระบุตรเอกได้ยินอย่างไรก็กล่าวไปอย่างนั้น
โดยคำว่า “ได้ยิน” นี้มิได้หมายถึงได้ยินกับหู
แต่เป็นการ “รับรู้” ด้วยกระบวนการทางจิต
ในระบบที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นนั่นเอง
 
แต่เนื่องจาก
พระเจ้าจะส่ง “พระบุตรเอก” เข้ามายังโลก
ต้องทรงรอจังหวะเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
พวกคุณจึงรับรู้ได้ว่าตลอดกาลเวลาที่ผ่านมา
โลกจะมีพระศาสดาที่มาจากพระเจ้าน้อยมาก
ส่วนใหญ่จะเป็นพระศาสดาที่เกิดจากโลกเอง
ซึ่งศาสดาที่มาจากพระเจ้าจะกล่าวพระโอวาท
ในพระนามพระเจ้าหรือพระอาทิตย์ให้คุณได้รู้
มากกว่าสัจธรรมคำสอนต่างๆที่เป็นวิชาโลก
ซึ่งศาสดาที่เกิดจากโลกทรงพระปรีชากันอยู่
 
ในปลายยุคพลังงานเก่าของโลกก็เช่นกัน
พระศาสดาที่ทรงเป็นพระบุตรเอกในยุคก่อน
ได้ทรงให้สัจจะต่อชาวโลกเอาไว้ว่า
เมื่อเสด็จกลับหรือนิพพานกลับบ้านในครั้งนั้น
จะเสด็จกลับมารับ “เจ้าสาว” ทุกคนผู้รอคอย
เพื่อจูงมือเจ้าสาวนำพาเข้าสู่ประตูเรือนหอ
ที่เรียกมนุษย์ทุกคนว่าเจ้าสาวผู้รอเจ้าบ่าวอยู่
เพราะผู้รอคอยพระองค์กลับมารับกลับบ้านนั้น
จะมีอาการตื่นเต้นดีใจและเฝ้ารออย่างจดจ่อ
รอวันแห่งความสุขที่จะได้แต่งงานกับเจ้าบ่าว
ซึ่งเป็นอาการของหญิงสาวทุกคนที่จะมีคู่ครอง
พระบุตรเอกจึงทรงเปรียบเปรยไว้แบบนี้
 
พวกคุณที่ตั้งตารอคอยจงรับรู้ไว้ว่า
พระบุตรเอกกลับมาวางศีรษะบนโลกนี้นานแล้ว
จงอย่ายืนหลับดับตะเกียงแห่งปัญญาอยู่อีกเลย
รีบเติมน้ำมันใส่ตะเกียงให้เต็มกันได้แล้ว
คำว่าเติมน้ำมันแปลว่า “ฝึกใช้ปัญญา” ในตน
เพื่อยกระดับสติปัญญาของสมองให้เร็ว
แล้วฝึกการใช้ปัญญาหรือฝึกคิดคือจุดตะเกียง
เพื่อทำให้เส้นทางเดินกลับบ้านไสวสว่าง
โดยไม่ต้องหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
ในแบบที่คุณเคยทำตลอดมาทุกภพชาติ
 
คนนำทางตาบอด
คือผู้ไม่รู้ว่าเส้นทางที่พาพวกคุณก้าวเดินอยู่
เป็นเส้นทางที่ผิดที่ไม่ถูกต้องจึงหลงทาง
เพราะในหัวคุณไม่มีแสงสว่างจากตะเกียง
เนื่องจากไม่เคยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงไว้เลย
คุณได้แต่ขยันเติมไส้ตะเกียงอยู่อย่างเดียว
ตะเกียงของคุณเมื่อไม่มีน้ำมันจึงจุดไม่ติด
 
พวกคนนำทางพาคุณหลุดลอยไปติดค้าง
จนกลับลงมาเกิดใหม่กันอีกไม่ได้แล้ว
จะไปไหนต่อกันอีกก็ไปไม่ได้ขึ้นลงไม่ได้
เพราะจิตวิญญาณหลงมายาสวรรค์กันอยู่
โดยยากที่จะรู้สำนึกเพราะกิเลสพาให้หลง
 
เราสนับสนุนคำสอนของพระพุทธองค์
ที่ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า #อัตตาหิอัตโนนาโถ
คุณต้องพึ่งพาสติปัญญาของตนเองเท่านั้น
จะเอาแต่เชื่อตามคนนำทางอย่างเดียวไม่ได้
ต้องเชื่อสติปัญญาของคุณเองโดยพิจารณาว่า
สมเหตุสมผลหรือไม่มิใช่แค่ชอบก็เชื่อตามแล้ว
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
5/04/2566