23 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 23/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์นั้น
มีบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
ที่มนุษย์โลกทั้งหลายเรียกขานว่า #เอกภพ
ซึ่งเอกภพนี่แหละเป็นเสมือนดั่ง #ห้องทดลอง
ของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้าง
เพื่อทดลองว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดได้บ้าง
 
ภายในเอกภพหรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
จึงมีรูปธรรมหรือสรรพสิ่งต่างๆที่ทรงออกแบบไว้
หลายรูปแบบและมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
รวมทั้งจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์ทุกรูปธรรม
ที่เดินทางเข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติเพื่อเป็นมนุษย์
โดยให้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็น #จิตหยาบ
เพื่อทำหน้าที่แทนในการขับเคลื่อน #กายสังขาร
หรือ #เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
 
โดยใช้ความรักความเมตตาสั่นสะเทือนขันธ์ 5
เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
ให้โลกใช้เป็นพลังในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ สัตว์และต้นไม้ใหญ่น้อย
จักต้อง “ร่วมพลังรักกัน” อย่างเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
จึงจะประสบผลสำเร็จในภารกิจทางจิตวิญญาณได้
ถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันสร้างสมดุลค้ำจุนโลกได้
โดยไม่หนีสังคม ไม่ปลีกตัวเองออกจาก “สังคม”
เพื่อจะแสวงหาความต้องการของตนตามลำพังแล้ว
ความสมดุลของดาวเคราะห์โลกดวงนี้
มันจะยังผลให้เอกภพหรืออนันตจักรวาลทั้งระบบ
เกิดความสมดุลอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามไปด้วย
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
กระบวนการและปรากฏการณ์พอสังเขปที่เรากล่าวมา
ล้วนถูกออกแบบและกำหนดสร้างโดยพระเจ้าทั้งสิ้น
ซึ่งจิตวิญญาณพวกท่านเป็นผู้ขันอาสาพระองค์มาทำ
ด้วยการเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ภายในเวลา 6 หมื่นปีโลก
โดยมิได้ทรงกำหนดให้จิตวิญญาณพวกท่านต้องตาย
เพื่อการกลับมาเกิดใหม่หรือมีภพชาติแต่อย่างใดเลย
เพราะการตายแล้วเกิดใหม่มันคือการเริ่มต้นกันใหม่
เพื่อยกระดับจิตตปัญญาพัฒนาจิตสามนึกให้สูงขึ้น
จนไม่สามารถทำหน้าที่ค้ำจุนโลกอย่างต่อเนื่องได้
เพราะพวกท่านจะมี #ช่องว่างระหว่างภพ หรือรอยต่อ
ในช่วงเวลาที่จิตวิญญาณต้องเปลี่ยนภพชาตินั่นเอง
 
อาจยังผลให้จำนวนเพื่อนร่วมงานของโลกไม่เพียงพอ
จนสร้างความเสียหายไร้สมดุลให้โลกและเอกภพ
ถึงขั้นวอดวายหายนะเพราะเสียสมดุลกันหมดทั้งระบบ
จึงทรงออกแบบให้เครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกท่าน
ทั้งเซลล์ร่างกายและอวัยวะทั้งหลายทั้งระบบ
ให้มันสามารถเจริญเติบโตเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้
ให้มันสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตนเองได้
ให้มันสามารถเสื่อมสลายไปแล้วสร้างใหม่แทนได้
ให้มันทำหน้าที่ทั้งวันคืนโดยไม่ต้องหยุดพักเลยก็ได้
 
โดยท่านทั้งหลายที่ได้รับโอกาสให้เข้ามาเกิด
มีหน้าที่เพียงแค่จะต้องเรียนรู้เพื่อดูแลตนเองให้ได้ว่า
ท่านจักต้องทำอย่างไรจิตวิญญาณจึงจะไม่ต้องตาย
รอจนถึงวันสิ้นยุคเมื่อไหร่ท่านก็จะได้ #หลับเป็นตาย
เพราะได้เวลาหลุดพ้นกลับบ้านเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว
 
ดังนั้น
เมื่อพวกท่านขันอาสาพระบิดาคือ #องค์จิตจักรวาล
เข้ามาทำหน้าที่ต่างๆตามพันธะสัญญา 6 ประการ
พวกท่านจึงต้องปฏิบัติตามแผนการที่ทรงออกแบบไว้
ด้วยการเรียนรู้ที่จะเป็นสัตว์สังคม
โดยรักกันไม่ทะเลาะกันไม่ฆ่ากันไม่ทำร้ายกัน
และต้องปฏิบัติตนตามแบบแผนที่ทรงออกแบบไว้
มันจึงจะเป็น #การปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้องถ่องแท้
แทนที่จะพยายาม “หนีทุกข์” ด้วยการฆ่าตัวตาย
ทำลายอัตตาด้วยการมุ่งที่จะดับขันธ์ 5 อย่างไร้สติ
ซึ่งเป็นการทำลายเครื่องมือของจิตวิญญาณของตน
ที่ต้องใช้ในการทำหน้าที่ #คนสองมิติ อย่างงมงาย
ซ้ำยังใช้คำกล่าวอย่างโก้หรูว่าการตายแล้วดับหาย
โดยตายแล้วไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็คือ #นิพพาน
ซึ่งเป็นการบิดเบือนสัจธรรมอย่างสิ้นเชิง
 
เพราะคำว่านิพพานที่แท้จริง
คือการ #ดับการเกิดดับ” ของกิเลสตัณหา
ที่มันซ่อนตัวอยู่ใน “ขันธ์ 5” หมดสิ้นไม่เหลือเชื้อได้
มิใช่การทำลายขันธ์ 5 เสมือนการทุบมันทิ้งไป
เพื่อทำลายอัตตาของท่านให้เป็น #อนัตตา นั่นแหละ
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
เราจะบอกความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
การตายการเกิดเป็นเรื่องของจิตวิญญาณของท่าน
โดยมี “จิตหยาบ” หรือจิตคนเป็นเหตุแห่งการเกิด
ถ้าท่านต้องการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด
ท่านจะต้องกระทำที่จิตหยาบคือตัวท่านเอง
นั่นคือท่านจะต้องเข้าถึงความรักและเมตตาให้ได้
เพื่อใช้ความรักนั้นผลิตพลังงานบวกช่วยค้ำจุนโลก
โดยท่านจะมีคนรอบข้างคอยสร้างเงื่อนไขให้
 
แน่นอนว่าจิตหยาบของท่านทั้งหลาย
มันจะใช้ความรักหมุน #ธรรมจักร ด้วยขันธ์ 5 ไม่ได้
ถ้าจิตหยาบของท่านยังมีมลทินเกาะอยู่จนเกรอะกรัง
นั่นคือ กิเลส ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะทั้งปวง
หน้าที่ของพวกท่านจึงต้อง “นิพพาน” ขยะในขันธ์ห้า
ให้มันสิ้นซากสิ้นเชื้อกันไปเลยต่างหากล่ะท่าน
เพื่อจิตหยาบของท่านจะเข้าถึงความรักได้ง่ายๆ
นิพพานจึงมิใช่ทุบขันธ์ห้าเพื่อทำลายอัตตาฆ่าตัวตาย
ตามที่มอดมารหลอกลวงผ่านคนนำทางตาบอดไว้
 
เราขอย้ำว่าการนิพพานแบบ #ตาลยอดด้วน
ตามที่พระศาสดาสั่งสอนพวกท่านเอาไว้นานแล้วนั้น
พระองค์ทรงหมายถึง “กิเลสตัณหา” มิใช่จิตวิญญาณ
เพราะตัวกิเลสตัณหาที่แฝงอยู่ในจิตของท่านนั้น
ไม่ต่างจากต้นตาลที่มันกำลังเติบโตอยู่กลางทุ่งนา
ถ้าท่านสามารถชำระกิเลสตัณหาทั้งหมดได้สิ้น
สภาวะจิตของท่านที่เคยมีพวกมันเร้นอยู่แต่เดิมนั้น
จะกลายเป็น #มีอยู่แต่เหมือนไม่มีพวกมันอีกแล้ว
 
พระศาสดาจึงทรงอุปมาอุปมัยต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกมันจะเป็นดั่งต้นตาลที่ไม่มียอดคือยอดด้วน
จะไม่สามารถออกดอกออกผลคือก่อเวรก่อกรรม
จนทำให้เกิดทุกข์เพราะการเวียนว่ายตายเกิดอีก
มันจะไม่เติบโตเป็นวัชพืชให้รกจิตท่านตลอดไป
#นี่คือนิพพานแท้จริงมิใช่นิพพานเทียมเท็จ!
 
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/06/2022