21 เมษายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 21/04/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทำไมประดาผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหมดบนโลกนี้
จึงมีผู้ยอมรับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ท่านทั้งหลายถวายพระนามว่า #พระเจ้า
ด้วยทัศนคติและการยอมรับแตกต่างกันไป

ฝ่ายที่ยอมรับใน “พระเจ้า” หรือพระผู้สร้าง
จะยอมรับผ่านพระศาสดาที่ตนเองยอมรับเท่านั้น
เป็นการยอมรับเพราะตนเชื่อตามพระศาสดาก็มี
ยอมรับเพราะตนเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าต้องมีจริงก็มี
ยอมรับเพราะตนได้รับพระเมตตาจากพระองค์
ที่ประทานบางสิ่งให้เป็นหมายอัศจรรย์ในชีวิตก็มี

เหตุผลในการยอมรับของพี่ๆน้องๆ
ที่กล่าวมาข้างต้นจึงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ

#ประการแรก
ยอมรับเพราะเชื่อตามพระศาสดาพระองค์นั้น
ทรงกล่าวอ้างถึงหรือทรงเป็นพยานให้

แต่พระศาสดาที่มาจากพระเจ้ามีมากกว่าหนึ่ง
เนื่องจากพระองค์เสด็จมายังโลกคนละยุคสมัย
มนุษย์รุ่นหลังจึงเข้าใจผิดเพราะคิดเข้าใจว่า
พระศาสดากล่าวถึงพระเจ้าคนละพระองค์กัน
ในยุคหนึ่งพระเจ้าถูกถวายพระนามว่าอย่างหนึ่ง
แต่ยุคต่อมาพระเจ้าก็ทรงมีพระนามอีกอย่างหนึ่ง
โดยมนุษย์ไม่เข้าใจว่าที่ทรงมีพระนามต่างกันนั้น
ก็เหมือนชาตินี้จิตวิญญาณท่านมาเกิดเป็นมนุษย์
บิดามารดาก็ตั้งชื่อเรียกขานให้เท่ห์ๆว่า “สมศรี”
แต่พอย้อนหลังชาตินี้ไปท่านก็มีนามว่า “สมพร”
ทั้งๆที่เป็นจิตวิญญาณดวงเดียวกันแต่ต่างยุคกัน

เพราะมนุษย์จะตัดจบกันที่ภพชาติคือตายแล้วจบ
ชาติหน้าถ้ามีจริงก็มาเริ่มต้นกันใหม่ว่ากันใหม่
มนุษย์นึกไม่ถึงว่าการทำอะไรไว้ในชาตินี้นั้น
จะส่งผลไปถึงชะตากรรมของตนในชาติหน้าด้วย
ชะตากรรมดีหรือร้ายในชาติปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน
ล้วนเกิดจากการกระทำของตนในอดีตชาติทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้เอง
ในความเป็นจริงนั้นพระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว
แต่เมื่อพระศาสดาทรงมาจุติในต่างยุคสมัยกัน
จึงย่อมถวายพระนามพระองค์แตกต่างกันไปได้
เพราะมันเป็นความจริงในมิติโลกด้านกายภาพ
ซึ่งกาลเวลาเป็นมิติของจำนวนนับที่เป็นก่อนหลัง
แต่ในมิติของจักรวาลนั้นกาลเวลามีค่าเท่ากับหนึ่ง
ไม่มีอดีตไม่มีอนาคตคงมีแค่เพียงปัจจุบันเท่านั้น

ดังนั้น
ไม่ว่าจิตวิญญาณนั้นจะมาเกิดเป็นมนุษย์กี่ชาติ
ก็จะยังเป็นจิตวิญญาณรูปธรรมเดิมอยู่นั่นเอง
พระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณก็เช่นกัน
ไม่ว่าบุตรเอกพระองค์ใดที่เสด็จมาจุติเป็นศาสดา
ก็มากล่าวพระโอวาทแทนพระเจ้าพระองค์เดียวกัน
แม้พระนามของพระเจ้าจะไม่เหมือนกันก็ตาม

ยุคปัจจุบันนี้เราก็ถวายพระเกียรติแก่พระองค์ว่า
#องค์จิตจักรวาล ซึ่งพระองค์คือพระผู้สร้างทุกสิ่ง
พระองค์จึงทรงเป็นผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสิ่ง
อันหมายถึงทรงเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของจักรวาล
พระองค์จึงทรงเป็น #จิตแห่งจักรวาล อันไพศาลนี้
เพราะจุดศูนย์กลางจะมีเพียง “จุดเดียว” ไม่มีสอง
พระเจ้าหรือพระผู้สร้างหรือจิตจักรวาลจึงมีเพียงหนึ่ง
พวกท่านจึงจะคิดแบบจิตมนุษย์แต่เดิมไม่ได้
สงครามศาสนาก็ล้วนเกิดจากคนที่รักพระเจ้า
ผ่านการยอมรับนับถือพระศาสดาในต่างยุคกัน
จึงหลงผิดคิดว่า “พระผู้เป็นเจ้า” มีมากกว่าหนึ่ง
ทำให้เป็นเหตุทะเลาะกันด้วยเรื่องของพระเจ้า
อันเป็นคนละเรื่องเดียวกันเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ

#ประการที่สอง
มนุษย์บางคนยอมรับเพราะเชื่อด้วยเหตุผล
จากการใช้สติปัญญาของตนคิดพิจารณาก่อนเชื่อ
ซึ่งมนุษย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็น #ผู้มาทีหลัง
ผู้มาทีหลังก็คือผู้ที่เพิ่งจะรู้จักพระองค์ในชาตินี้
เราหมายถึงพี่น้องยุวจิตจักรวาลของเรานี่เอง

พวกท่านยอมรับในพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพราะท่านทั้งหลายยอมรับเหตุผลสำคัญได้ว่า
ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุหรือมีเหตุแห่งการเกิด
จิตวิญญาณของท่านก็เช่นกันจะเกิดขึ้นมาเองมิได้
แม้จะเป็นสรรพสิ่งซึ่งอยู่ในมิติทางพลังงานก็ตาม
ต้องมีพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน

พวกท่านยอมรับในองค์จิตจักรวาลว่าคือพระเจ้า
ยอมรับว่าทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
มิใช่เพราะพวกท่านเชื่อตามคำกล่าวโน้มน้าวของเรา
มิใช่พวกท่านเชื่อตามเราเพราะรักและศรัทธาเรา
แต่พวกท่านเข้าใจและเข้าถึงพระองค์ด้วยปัญญา
โดยเราทำหน้าที่ชี้แนวทางสร้างแนวคิดให้เท่านั้น
จนพวกท่านสามารถ “จำพระองค์” ได้ด้วยการตื่นรู้

นี่แหละพระเยซูเจ้าจึงได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า
#ผู้มาก่อนคือรู้จักพระเจ้าก่อนจะกลับบ้านทีหลัง
#ผู้ที่มาทีหลังคือเพิ่งจำพระองค์ได้จะได้กลับก่อน
คำว่า “กลับ” ในที่นี้ก็คือการ “หลุดพ้นนิพพาน”
นำพาจิตวิญญาณกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
ที่ทรงคอยพวกท่านอยู่นอกระบบเอกภพนั่นเอง

สาเหตุที่จะได้กลับก่อนในชาตินี้ของผู้มาทีหลัง
เพราะพวกท่านเชื่อในพระบุตรเอกและพระบิดา
ด้วยการใช้สติปัญญาจนยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะเรากล่าวอนุตรธรรมซึ่งเป็นความจริงสูงสุด
ที่สมองสองซีกของมนุษย์เข้าใจและเข้าถึงยาก
พระบิดาจึงทรงเมตตาให้เราสอนให้ท่านคิดตาม
มิให้นำเอาฤทธานุภาพของจิตวิญญาณบริสุทธิ์
มาเป็นเครื่องจูงใจท่านทั้งหลายแบบมอดมารใช้

ส่วนผู้มาก่อนแต่จะได้กลับทีหลังก็เพราะว่า
พี่ๆน้องๆเหล่านี้ใช้ความเชื่อแบบยึดมั่นถือมั่น
มิได้เชื่อในพระเจ้าด้วยหลักการและเหตุผล
มิได้เชื่อและยอมรับพระองค์ด้วยจิตสำนึกแท้จริง
เช่นเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยให้ตนกลับสู่สวรรค์ได้
เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงยกโทษไถ่บาปของตนได้

ในทางกลับกันพี่ๆน้องๆเหล่านี้จะรักพระเจ้ามั้ย
หากพระองค์จะอุ้มจิตวิญญาณใครกลับบ้านมิได้
พระองค์ไม่สามารถที่จะแบกโทษบาปให้ใครได้
ซึ่งพระบิดาเคยตรัสสอนเราว่า #เด็กเส้น ไม่มี
โดยพี่ๆน้องๆเหล่านี้จะได้รับโอกาสจากพระองค์
ให้มีเวลาเรียนรู้ที่จะยกระดับปรับจิตสำนึกของตน
ในท่ามกลางมหันตภัยพิบัติด้วยบททดสอบใหญ่
เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขารักพระองค์ด้วยปัญญา
มิใช่รักเพราะมีสิ่งจูงใจรักอย่างมีเงื่อนไขดังกล่าว
ทั้งๆที่ตนเองยังไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริงเลย

#ประการที่สาม
ยอมรับพระบิดาจากประสบการณ์จริง
เพราะเคยได้รับพระพรจากพระเจ้าที่เป็นรูปธรรม
ในชีวิตจริงของตนมาแล้วอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
ซึ่งพระพรอันประเสริฐเกิดจากการนำเอาพระคำ
ที่เราบุตรเอกของพระองค์ได้รับสื่อมากล่าวต่อ
เพื่อให้พี่ๆน้องๆทั้งหลายได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องรู้
เพื่อเตรียมตนเองและจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้น
ด้วยการเรียนรู้จนเข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติในชีวิต
จนสามารถยกระดับจิตปัญญาปรับเปลี่ยนตนเอง
ให้สามารถสร้างสันติสุขกับคนรอบข้างได้ดียิ่ง
ขณะที่ในอดีตที่ผ่านมาบรรยากาศแสนจะเลวร้าย

พี่ๆน้องๆเหล่านี้
จึงเชื่อว่าพระบิดาทรงรักและเมตตาพวกเขาจริง
จึงทรงมีบัญชาให้เรามากล่าวพระโอวาทให้รับรู้
เมื่อตนรับพระโอวาทแล้วนำไปปฏิบัติตามในชีวิต
ก็สามารถเปลี่ยนตนและโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยพวกเขาไม่เคยปฏิบัติธรรมแล้วบังเกิดผล
เหมือนกับการปฏิบัติตามพระโอวาทมาก่อนเลย

พวกเขาผู้มาทีหลังจึงยอมรับโดยทั่วกันว่า
ปัญญาปาฏิหาริย์ของพระบุตรเอกที่ตนสัมผัสได้
เกิดจากความรักและพระเมตตาของพระบิดา
ที่ประทานแก่พระบุตรเอกเพื่อให้ทุกคนได้ประจักษ์
เพราะเป็นอนุตรธรรมญาณที่คนทั่วไปเข้าถึงมิได้
นอกจากพระบุตรเอกที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ปลายยุคพลังงานเก่านี้เป็นชาติสุดท้ายของทุกคน
ที่จะต้องใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าไว้
ตายแล้วจิตวิญญาณจะได้ไม่ติดค้างอยู่ในเอกภพ
เพราะจะไปเกิดในชาติใหม่ภพไหนไม่ได้อีกแล้ว
หนทางเดียวคือต้องหลุดพ้นนิพพานให้ได้เท่านั้น

ผู้ที่จะหลุดพ้นนิพพานกลับบ้านได้
จักต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

1.ต้องคนตนเองจนเป็นมนุษย์ได้สำเร็จแล้ว
2.ต้องใช้ความรักหมุนธรรมจักรร่วมกับคนอื่น
เพื่อสร้างสังคมแห่งธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้ได้

3.ต้องครองมหาสติและมีปณิธานแห่งนิพพาน
เพื่อดำเนินตาม #มรรควิถีจิตจักรวาล อย่างมุ่งมั่น
ไม่หลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดมอดมาร
อย่างไร้สติทางวิญญาณกันอีกต่อไป

4.ละเลิกการกินเลือดเนื้อของสัตว์โลก
ที่จะไปบำรุง DNA ของสัตว์ร้ายพวกมารภายใน
ให้มันเจริญเติบโตเหนือนำ DNA ของพระเจ้า
จนทำให้พวกท่านอายุสั้นเพราะสังขารโรยเร็ว

5.ต้องฝึกทักษะการทำ #สามเหลี่ยมจิตจักรวาล
เพื่อเชื่อมต่อกันกับพระบิดาผ่านมาทางเรา
และต้องฝึกการเชื่อมต่อ 3 เหลี่ยมนี้ให้ชำนาญไว้
ฝึกจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับลมหายใจของท่าน

เพราะผู้ที่หลุดพ้นนิพพานได้จะเป็นผู้ตายตาหลับ
แปลว่าท่านจะเป็นผู้ล่วงลับที่จะหลับไปในนิพพาน
ไร้ทุกขเวทนา ไร้อาตมัน ไร้อาวรณ์และไร้นิวรณ์
ถ้าหลับแล้วเชื่อมต่อกับพระองค์มิได้ก็ไม่หลุดพ้น

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21/04/2022