12 เมษายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/04/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พัฒนาการทางจิตตปัญญาของชาวโลก
ที่เป็นไปค่อนข้างช้ากว่าที่ควรจะเป็น
แม้จะใช้เวลากันมาจนถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า
นับเนื่องได้ยาวนานร่วม 6 หมื่นปีเศษแล้วนี้
มีสาเหตุสำคัญหลายประการด้วยกัน คือ

1.เกิดจากมนุษย์ทำตนเหลวไหลเอง
2.เกิดจากการถูกตัดต่อดีเอ็นเอของสัตว์ร้าย
3.เกิดจากมอดมารสอนให้เสพติดกิเลส
4.เกิดจากการปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
5.เกิดจากการหลงทางนิพพานเพราะมารหลอก
6.เกิดจากการฝักใฝ่อุตริอวิชชาฤทธาภินิหาร

ความเหลวไหลของมนุษย์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ
ดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร
เพราะไม่เคยใฝ่รู้ว่าตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
จึงได้แต่ทำหล่อ ทำสวย ทำรวย ทำดัง
เพื่อเสพสุขมากๆเข้าไว้และหนีทุกข์กันไปวันๆ
ซึ่งเป็นที่มาของพฤตินิสัยขั้นพื้นฐานที่คล้ายกัน
เช่น การท่องจำเพื่อทำตามผู้อื่น เลียนแบบผู้อื่น
การใช้อำนาจภายนอกเพื่อการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น
การฉกฉวยโอกาสเพื่อแสวงหาความได้เปรียบ
ความโลภในลักษณะของการเห็นแก่ตัวและพวก
ความตระหนี่ถี่เหนียวไม่รู้จักรักไม่รู้จักการแบ่งปัน
ฯลฯ

พฤตินิสัยขยะเท่าที่เราอ้างอิงไว้นี้
ถูกเพาะบ่มมาตั้งแต่วัยเด็กตราบจนเป็นผู้ใหญ่
จนกลายเป็นนิสัยด้านลบ (สันดาน) ถาวรไป
ซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในสัญญาขันธ์ของแต่ละคน
จนจิตวิญญาณพวกท่านต้องแบกขนนิสัยขยะนี้
ข้ามภพข้ามชาติติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแก้ไข
โดยหวังใจว่า “จิตหยาบ” ในภพชาติใหม่ของตน
จะช่วยชำระบาปด้วยการนิพพานมันในชาตินั้นให้
แต่พบว่ายิ่งเกิดใหม่ยิ่งสะสมขยะมากกว่าเดิมอีก
ยังผลให้จิตสามนึกยิ่งตกต่ำลงมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะคนส่วนใหญ่รับถือศาสนาเป็นสัญลักษณ์
มิได้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาที่พระศาสดาสอนไว้
รู้ธรรมะแค่เพียงเปลือกนอกแต่เข้าไม่ถึงแก่นธรรม
ประเภทมือถือสากปากถือศีลคือปากพูดธรรมะได้
แต่ไม่สามารถปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงตามที่รู้ได้

ยิ่งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ถูกพวกมอดมารผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดระดับเซลล์
บังอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางชีววิทยามนุษย์
ซึ่งพระเจ้าหรือพระบิดาทรงออกแบบเอาไว้ดีแล้ว
ด้วยการนำเอาดีเอ็นเอของสัตว์ร้ายของเผ่าตนเอง
เข้ามาตัดต่อไว้กับดีเอ็นเอของพระเจ้าในมนุษย์
ใช้เวลาพัฒนาอีกไม่นานดีเอ็นเอของสัตว์ร้ายนั้น
ก็กลมกลืนกันจนเป็นหนึ่งเดียวอยู่ตรง “ก้านสมอง”
แถมยังถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาถึงรุ่นปัจจุบันด้วย
เจ้าดีเอ็นเอของสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์นี่แหละ
ที่ช่วยเกื้อกูลต่อพฤตินิสัยหรือสันดานด้านลบ
อันเกิดจากความเหลวไหลหรือไม่เอาไหนเหล่านั้น
ให้มันสั่นสะเทือนแสดงออกมาเหมือนเป็นอัตโนมัติ
จึงยังผลให้มนุษย์บุตรของพระเจ้าทั้งหลาย
ไม่สามารถใช้ “ความรักเพื่อให้” ในเวทนาขันธ์ได้
เพราะถูกมอดมารตัดต่อตัดตอนให้เบี่ยงเบนไปแล้ว

จึงปรากฏผลว่าแทนที่กระบวนการขันธ์ 5
จะใช้หมุนธรรมจักรตามที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ได้
ต้องกลายเป็นว่ามนุษย์หมุนกรรมจักรได้ง่ายกว่า
เนื่องจากจิตหยาบไร้พลังที่จะเชื่อมกับจิตวิญญาณได้
เพราะขาดพลังความรักของพระบิดาในเวทนาขันธ์
จิตหยาบจึงถูกผลักดันให้เชื่อมต่อกับก้านสมองแทน
เพราะมอดมารต้องการใช้สัญชาตญาณของสัตว์ร้าย
บงการจิตหยาบมนุษย์ด้วยขยะในสัญญาขันธ์ที่มีอยู่
พวกท่านจึงตกเป็นทาสของสัตว์ร้ายในตัวท่านเอง
ในลักษณะของการทำผิดคิดชั่วโดยไม่รู้ว่าตัวเองชั่ว
ในลักษณะของการโกหกเสียจนตนเองเชื่อว่าจริง
ในลักษณะของการใช้อารมณ์นำปัญญาที่ก้าวร้าว

นอกจากนั้นพวกมอดมารเผ่าเดียวกันนี้
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเสพติดกิเลสเป็นอาหาร
แปลว่าอาหารที่พวกมันต้องการเสพก็คือกิเลส
พวกมันจึงวางแผนให้มนุษย์เป็น “คนงาน” หรือจับกัง
ใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างไว้
ซึ่งพวกมันเข้าแทรกแซงเอาไว้แล้วด้วยวิธีผ่าตัดนั้น
ทำการผลิตอาหารจานโปรดให้พวกมันอย่างเต็มที่
เพราะลำพังพวกมันเองหาเสพจากที่ดาวอื่นได้ยาก
เนื่องจากไม่มีชาวเผ่าดาวใดจะไร้เดียงสาเท่ามนุษย์
เพราะมนุษย์เชื่อง่าย จูงง่าย ช่างฝันและขี้กลัว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำว่า “เสพติดกิเลส” เป็นอาหาร
เราหมายถึงพวกมอดมารต้องการ #พลังจิตด้านลบ
ที่ได้จากผลลัพธ์ในการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้านลบ
จนเกิดการหมุนกรรมจักรสวนทางธรรมจักรขึ้น
ผลผลิตทางพลังงานในวิญญาณขันธ์ก็คือพลังกิเลส
ซึ่งจะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ที่ถูกเหวี่ยงออกมานอกร่างกายโดยต่อมพิทูอิทารี่
อันเกิดจากมนุษย์สอบตกบททดสอบนี่แหละ

พวกมอดมารทั้งหลายต้องการดึงดูดเอา
พลังงานด้านลบที่โลกไม่ต้องการ
ไปเติมเต็มให้กับเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกตน
จึงพยายามกระตุ้นมนุษย์ให้เสพติดกิเลสกันมากๆ
ด้วยการสอนให้หลงยึดติดในอัตตามายาไว้
ด้วยการผลิตสร้างวัตถุเท็คโนโลยีใหม่ๆเข้ามาล่อ
จนพวกท่านต่างตกเป็นทาสวัตถุเท็คโนโลยีกันไป
เพราะต้องการความสุขความสะดวกสบาย
จนแทบจะเป็นง่อยเพราะทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้

ทุกวันนี้มนุษย์ถูกมอดมารครอบงำระดับหนึ่งแล้ว
จึงกล้ากล่าวเหมือนจะยกย่องว่ามนุษย์เป็นชาวแสง
โดยเรียกขานมนุษย์เสียหรูว่า The Light Worker”
หมายถึงคนงานผู้ช่วยผลิตพลังงานแสงด้วยกิเลส
ให้แก่พวกมอดมารทั้งหลายได้เสพนั่นเอง
เพราะดีเอ็นเอของสัตว์ร้ายต้องการพลังงานกิเลส
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
เป็นพลังงานในการดำรงอยู่และเพื่อการเติบโต
ตรงกันข้ามกับดีเอ็นเอของพระเจ้าในสังขารมนุษย์
ต้องการพลังงานที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากการขับเคลื่อนขันธ์ห้าด้วยความรักเพื่อให้
เพื่อการดำรงอยู่โดยไม่มีการเสื่อมสลายไม่มีอายุขัย
อันหมายถึงการมีชีวิตอมตะไม่มีวันตายนั่นเอง

ถ้าต้องการพิสูจน์ว่า
มอดมารทั้งหลายหลอกใช้มนุษย์ให้เป็นคนงานแสง
ซึ่งเป็นแสงแห่งความมืดเพราะเป็นย่านความถี่ต่ำ
เพื่อการยังประโยชน์ของพวกตนที่แฝงตัวอยู่กับมนุษย์
ก็ลองสังเกตดูเอาเถิดว่าสิ่งยั่วกิเลสจะถูกผลิตออกมา
ให้มนุษย์งมงายไปกับมันอย่างหลากหลายหรือไม่
จนหลายคนกล่าวว่าความเจริญทางวัตถุเท็คโนโลยี
กำลังก้าวล้ำนำหน้าไกลไปในอนาคตกันแล้ว
ในขณะที่สภาวะทางจิตใจมนุษย์โลกกลับตกต่ำลง

ต่อไปนี้สิ่งที่พวกท่านจะเห็นกันได้ชัดเจนมากก็คือ
ประดาเด็กรุ่นใหม่จนถึงคนวัยที่ไม่เกิน 60 ขวบปี
จะถูกจูงใจให้หันไปฝักใฝ่ลัทธิมอดมารกันมากขึ้น
ลัทธิมอดมารก็คือการเผยแพร่ศาสตร์ลี้ลับแปลกๆ
ที่คนรุ่นใหม่จะถูกจูงใจให้เชื่อง่ายๆแม้จะไม่เข้าใจ
จะถูกจูงใจให้ยอมรับอย่างว่าง่ายทั้งที่อธิบายไม่ได้
เพราะเป็นวัยที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นอยากรวย
อยากเด่นอยากเป็นคนที่ผู้ใหญ่ยอมรับความสามารถ
แม้ศาสตร์ลี้ลับนี้จะอยู่ในรูปแบบของ “ผู้วิเศษ”
ที่คนโบราณเรียกกันว่าวิชาพ่อมดหมอผีนั่นแหละ

ปรากฏว่าแผนการของมอดมันได้ผลจริงๆด้วย
เพียงแค่มอดมารจูงให้จิตติดกิเลสหลงในวัตถุมายา
จูงให้ใช้ความเชื่อมากกว่าความใช่จากการใช้ปัญญา
จูงให้ใช้ตัณหาคืออยากเป็นตัวชี้นำความต้องการ
มอดมารจึงนำเสนอ #วิธีสั่งจิต ให้นำสิ่งที่อยากมาให้
สั่งให้นำพาความร่ำรวยหรือทรัพย์สินเงินทองมาให้
สั่งจิตให้นำโชคลาภความสมบูรณ์พูนสุขมาให้ เป็นต้น

ดังนั้น
ยุคนี้จึงมีสาระพัดวิชาทั้งจูงจิต จูนจิต สั่งจิตใต้สำนึก
เผยแพร่เสียจนคนรุ่นใหม่ที่ไร้ทักษะชีวิตตื่นตัวตาม
หลายคนจึงหลงกลเป็นสาวกมอดมารกันเป็นทิวแถว
บางคนก็ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิเจ้าสำนักอย่างไร้จิตสำนึก
โดยไม่รู้ว่าครูผู้เผยแพร่ลัทธิมอดมารนี้เป็นใครด้วยซ้ำ
เพราะต้นเรื่องคือมอดมารตัวจริงเขาแอบซุ่มอยู่ในมุมมืด
ไม่เคยเผยตัวเผยตนให้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของอวิชชานี้
ที่สำคัญก็คือยังไม่มีใครยืนยันว่าถ้าทำตามแล้ว
จะต้องได้ผลแน่หรือทำแล้วจะรวยจริงทุกคนด้วยซ้ำไป
ทั้งไม่รู้ด้วยว่าถ้าทำตามแล้วจะเกิดผลเสียอะไรอย่างไร

ถ้าท่านคลั่งใคล้ในอวิชชาของมอดมาร
ตัวท่านจะตกเป็นคนงานแห่งแสงหรือกรรมกรของมอด
ที่จะใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพระบิดา
ซึ่งปกติต้องทำหน้าที่ผลิตพลังงานความรักป้อนให้โลก
ในบทบาทเพื่อนร่วมงานของดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ไปใช้ผลิตพลังงานกิเลสป้อนให้มอดเสพแทนทันที
แทนที่พวกท่านจะเป็นเพื่อนร่วมงานของโลก
เพื่อทำงานถวายพระผู้เป็นเจ้าหรือพระบิดาตามหน้าที่
ก็กลายเป็นทาสของมอดมารเพราะถูกหลอกใช้ไปทันที

พลังงานจิตด้านลบจากกิเลสในจิตหยาบของท่าน
จะถูกพวกมอดมารใช้วัตถุเท็คโนโลยีที่สร้างขึ้น
คอยดักดูดซับเอาพลังงานแสงแห่งกิเลสไว้หมดสิ้น
เมื่อถูกพวกท่านเหวี่ยงออกมาในบรรยากาศโลก
เพื่อจูน เพื่อจูง เพื่อสั่ง เพื่อหาอะไรๆตามกิเลสนั้นๆ
เมื่อพวกเขาต้องการเติมเต็มพลังกิเลสในตนเอง
ก็จะใช้พลังจิตเชื่อมต่อเอาจากเครื่องเก็บพลังกิเลสนั้น
มนุษย์ที่งมงายและเชื่อตาม
ยิ่งทำอุตริมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอ่อนเพลียเสียพลัง
เพราะจิตวิญญาณของท่านจะป่วยหรือเสียสมดุล
จนค้ำจุนโครงสร้างทางชีววิทยาของตนไม่ได้
ยิ่งหักโหมมากหรือทุ่มเทมากก็จะยิ่งเสียสมดุลมาก
เช่น เหนื่อยง่าย ปวดมีนศีรษะบ่อย อ่อนล้า
หน้าซีดเพราะเลือดฝาดไม่สมบูรณ์ เบื่ออาหาร
เป็นโรคนอนไม่ค่อยหลับทั้งๆที่ขี้ง่วง ฝันร้ายบ่อย
กลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย โทสะจริตเพิ่ม
ขณะที่มอดมารศัตรูมนุษย์จะมีฤทธานุภาพมากขึ้น
เพราะกรรมกรชาวแสงของเขาช่วยเติมเต็มให้

ผลบั้นปลายคือท่านจะขาดพลังทางจิตวิญญาณ
เมอร์คขะบาห์จะพาท่านหนีแรงดึงดูดของโลกไม่พ้น
จนหลุดพ้นนิพพานกลับบ้านที่อยู่นอกเอกภพไม่ได้
ผลสุดท้ายจิตวิญญาณใช้การไม่ได้ก็ต้องถูกระเบิดทิ้ง

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/04/2022