29 เมษายน 2563

ศาสตร์แห่งอริยะ 29/04/2020

"ศาสตร์แห่งอริยะ"
*******************

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพอันไพศาลนี้

ทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาตามสัญญา
เพื่อกล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเสรีนี้ให้ได้รู้ว่า
บัดนี้โลกกับมนุษย์สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
เพราะครบ 6 หมื่นปีตามกำหนดหมาย
ที่ให้จิตวิญญาณแก่นแท้จากแดนสุญตา
ข้ามมิติเข้ามาจุติเป็นคนบนโลกเสรีนี้แล้ว
ท่านทั้งหลายจึงต้องเร่งนำพาจิตวิญญาณ
กลับบ้านที่จากมานับหมื่นปีกันได้แล้ว

เพราะพระองค์จะทรงชำระโลกด้วยภัยพิบัติ
จะทรงกำจัด "ขยะ" ที่รกโลกออกไปจากระบบ
จะทรงยกระดับความสมดุลของโลกใหม่
เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม

ผู้ใดที่มิได้รับประทานความรอดจากพระองค์
เพราะขาดคุณสมบัติเนื่องจากไม่ฟังพระโอวาท
หรือฟังแล้วไม่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เกิดผล
โดยมองเห็นเป็นเรื่องไร้สาระหรือเป็นเรื่องเท็จ
หรือยังคงยึดติดกับวิธีปฏิบัติแบบเก่าๆ
ที่ปฏิบัติกันมานานนับหมื่นๆปีแล้วแต่ไม่สำเร็จ
รับฟังเราแล้วแต่ยังไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง
จักต้องประสบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ

ถ้าท่านทั้งหลายมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ท่านจะมิได้รับความรอดจากภัยพิบัติ คือ

1.ถ้ายังคงมีผลกรรมติดตัวอยู่เกิน 30%
ตัวชี้วัดก็คือท่านต้องไม่มีประจุลบ
เกาะติดอยู่กับเม็ดเลือดแดงเกิน 30%
ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมดในร่างกายท่าน
โดยที่เม็ดเลือดแดงจำนวน 1 เม็ด
จะมีประจุลบเกาะได้เพียง 1 ประจุเท่านั้น

ซึ่งท่านจะมีคุณสมบัติข้อนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านต้องสามารถแทรกแซงกรรมจักร
ด้วยการหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวันให้ได้

การหมุนกรรมจักรก็คือการใช้กิเลสตัณหาราคะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งหลายดำเนินชีวิต
ซึ่งจะเป็นนิสัยที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่เป็นเด็กน้อย
โดยที่ท่านจักต้องแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลง
จากการหมุนกรรมจักรให้เป็น "ธรรมจักร" ให้ได้
ด้วยการใช้ความรักกับปัญญาดำเนินชีวิตแทน

เราขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่ใส่ใจรับฟังเรา
ถ้าท่านไม่ใส่ใจที่จะฝึกใฝ่ในการปฏิบัติตามนี้
โดยใช้เวลาฆ่าโอกาสของท่านไปวันๆแล้ว
จิตวิญญาณของท่านจักกลายเป็นขยะอีกชิ้นหนึ่ง
ที่จะถูกช่างเทคนิกหรือฑูตสวรรค์ชำระทิ้ง

2.ถ้ายังคงยึดติดคนนำทางตาบอดกันอยู่
โดยหลงผิดคิดว่าคนนำทางของท่านเป็นศาสดา
ท่านจึงยังคงเชื่อตามทำตามพวกเขาอย่างว่าง่าย

ทั้งๆที่เราได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายทุกบ่อยแล้วว่า
ท่านต้องรับฟังแล้วคิดตามก่อนที่ท่านจะเชื่อตาม
เพราะมีคำสอนของพวกเขาหลายอย่างไม่ถูกต้อง
โดยที่พระศาสดามิได้หมายความเช่นว่านั้นเลย
เมื่อท่านไปหลงเชื่อตามทำตามพวกเขาเข้า
จึงเกิดการหลงธรรมนำไปสู่การหลงทางตลอดมา
จนไม่สามารถบรรลุมรรคผลสูงสุดได้

มาชาตินี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายของท่านแล้ว
ถ้ายังไม่ฉุกคิดให้ได้กันเสียทีว่า
ทำไมเวียนเกิดเวียนตายกันมายาวนาน
แล้วใยจึงยังหลุดพ้นนิพพานแท้จริงกันมิได้
ก็มิใช่เพราะท่านเดินทางผิดหรอกหรือ

ทั้งๆที่การจะหลุดพ้นหรือนิพพานแท้ได้นั้น
ไม่ต้องการโอกาสมากภพชาติในการเกิดหรอก
เพียงภพชาตินี้ชาติเดียวก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว
หากท่านเรียนรู้อนุตรธรรมตามวิถีจิตจักรวาล
แล้วรู้ที่จะนำไปสู่ "การกระทำ" ในชีวิตจริง

คนนำทางบางกลุ่มก็สอนท่าน
ให้หนีทุกข์ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์มายา
ซึ่งพวกเขาใช้จิตปรุงแต่งสร้างกันขึ้นมาเอง
ทั้งๆที่พระบิดาฯมิได้ทรงสร้างไว้แต่อย่างใด
สวรรค์มายาจึงมิได้อยู่ในสาระบบ
ของอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

จึงยังผลให้จิตวิญญาณจำนวนมาก
ผู้หลงทางไปแขวนลอยติดค้างกันอยู่บนนั้น
กลายเป็น #ขยะ พลังงานของจักรวาลไป

ดังนั้น
ในการสื่อพระโอวาททุกครั้งบนโลกนี้
พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเมตตาเปิดมิติให้
ประดาผู้หลงทางทั้งหลายเหล่านี้
ได้รับโอกาสเฝ้าฟังพระโอวาทร่วมกับมนุษย์
เพื่อให้เกิด "สติทางวิญญาณ"
จนรู้ทางกลับบ้านในสภาวะแห่งการหลุดพ้นได้

ถ้าท่านยังปฏิเสธพระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านเรามาต่อท่านทั้งหลาย
โดยยังก้าวตามคนนำทางตาบอดกันอยู่อีก
หรือที่หลุดลอยไปแล้วก็ติดค้างอยู่บนนั้น
แม้รับฟังพระโอวาทพระบิดาแล้วก็ยังมิได้สติอีก
เมื่อถึงวันนั้นพวกท่านจะถูกจัดเป็นกลุ่มขยะ
ซึ่งต้องถูกชำระทิ้งไปจากจักรวาลสถานเดียว
นี่เรากล่าวความจริงโดยมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

คนนำทางบางกลุ่มก็สอนท่านให้เชื่อว่า
พระศาสดาสามารถ "ไถ่บาป" ให้ท่านได้
โดยคำว่า "ไถ่บาป" นี้พวกเขาหมายถึง
พระบุตรเอกจะทรงยกโทษบาปทั้งหมดให้
ด้วยการที่พระองค์จะทรงแบกรับบาปนั้นแทน
เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาตามสัญญา

ทั้งๆที่คำว่า "ทรงไถ่บาป" ให้กับเหล่ามนุษย์นั้น
แท้แล้วหมายถึงพระองค์จะทรงกลับมาสื่อสอน
ให้มนุษย์สำนึกรู้ในบาปบุญคุณโทษ
ให้หมั่นเพียรทำแต่ความดีละเลิกทำชั่วต่างหาก
มิใช่เสด็จมารับบาปรับกรรมแทนใคร
เพราะกฎแห่งการกระทำของจักรวาลนั้น
กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้
พระบุตรเอกจึงรับกรรมรับบาปแทนมนุษย์มิได้
ก็เพราะกฎหลักข้อนี้นั่นเอง

ดังนั้น
การเฝ้ารอคอยพระบุตรเอกเสด็จกลับมา
จึงขาดการใส่ใจในการชำระความผิดบาป
ยังผลให้มีวิบากกรรมชะตากรรมเพิ่มขึ้น
ขณะกรรมเก่าที่ค้างคามิได้รับการชำระ
เมื่อถึงวันที่พระองค์เสด็จกลับมา
ถึงคราพระบิดาพิพากษาโลก
พี่ๆน้องๆเหล่านี้อาจต้องกลับคืนบ้าน
ไปกราบพระบาทพระบิดาเป็นกลุ่มสุดท้าย
ทั้งๆที่รู้จักพระบิดาฯศรัทธาพระบุตรเอก
เป็นมนุษย์ยุคแรกๆของโลกเสรีนี้ด้วยซ้ำ

ท่านยังจำคำกล่าวของเราได้หรือไม่ว่า
ผู้พวกที่มาทีหลังจะคืนกลับได้ก่อน
ผู้พวกที่มาก่อนจะคืนกลับได้หลังสุด
เพราะผู้ที่มาเฝ้าพระบิดาก่อนนั้น
เป็นเจ้าสาวที่ยืนนั่งและนอนหลับไหล
วางตะเกียง (สมอง) เอาไว้ปลายเท้า
ในตะเกียงก็ไม่มีน้ำมัน (ขาดปัญญา)
ตะเกียงที่วางอยู่ก็ไร้แสงสว่าง (คิดไม่เป็น)

แต่ผู้คนที่มาทีหลัง
คือ กลุ่มยุวจิตจักรวาลทายาท
แม้จะเพิ่งจำพระบิดาและพระบุตรเอกได้
แต่เป็นกลุ่มเจ้าสาวผู้ตื่นรู้
พวกเขาพากันถือตะเกียงยืนรอเจ้าบ่าว
ให้ช่วยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงอยู่ทุกเดือน
จุดตะเกียงเมื่อไหร่ก็บังเกิดแสงสว่างเมื่อนั้น

พวกเขาผู้มาทีหลัง
จึงหมั่นชำระจิตใจให้ใสสวยอย่างจริงจัง
บาปกรรมจำเพาะตนจึงลดลงไปเรื่อยๆ
จนมีคุณสมบัติพอที่จะทรงประทานความรอด
จึงสามารถคืนกลับไปกราบพระบิดาได้ก่อน
นี่คือความจริงที่พี่ๆน้องๆทั้งหลายต้องรู้

3.ถ้ายังคงปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
โดยอ้างแต่ว่าศาสดาที่ตนรับถือมิได้สอน
ท่านก็เลยไม่เชื่อโดยไม่ยอมคิดตาม
อย่างนี้ก็มิอาจหลุดพ้นนิพพานได้

เพราะท่าน "ยึดติดศาสดา" อยู่องค์เดียว
ยึดเอาไว้เสียแน่นหนักโดยมิยอมปล่อยวาง
โดยเชื่อว่าศาสดาที่ตนรับถือเป็นเลิศในปฐพี
เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญูรู้แจ้งทั้งจักรวาล

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
อนันตจักรวาลที่มีโลกเสรีพิกัดที่ท่านมาเกิดนี้
เปรียบเหมือนกะลาใบใหญ่ที่คว่ำครอบกบไว้
กบตัวปัจจุบันเป็นรุ่นลูกหลานเหลนโหลนแล้ว
เมื่อมันเกิดมามันก็เห็นทุกอย่างที่อยู่ในกะลา
มันจึงเชื่อว่าสิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่ในกะลาเท่านั้น

เมื่อมันได้พบคุรุกบผู้เป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งเข้า
มันจึงยึดติดแต่คุรุของตนไว้คนเดียว
เพราะมันไม่รู้ว่าเหนือฟ้าในกะลาคว่ำนั้น
ยังมีฟ้ากว้างใหญ่ที่ครอบเหนือกะลาอยู่
ซึ่งคุรุกบสัพพัญญูเองก็มิอาจรู้

ดังนั้น
พวกท่านกลุ่มนี้
จึงปฏิเสธพระบิดาไม่ศรัทธาเรา
ทำให้ขาดคุณสมบัติสำคัญเพื่อการหลุดพ้น

เนื่องจากท่านทั้งหลายมัวแต่รังเกียจพระเจ้า
ทั้งๆที่พระองค์เป็นดั่งผู้บังเกิดเกล้า
ของจิตวิญญาณของตนเองแท้ๆ
จึงมิอาจสร้าง "สามเหลี่ยมจิตจักรวาล"
โดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นยอดสามเหลี่ยมได้
จึงเป็นได้แค่เส้นตรงในแนวระนาบ
คือตัวเรากับตัวท่านเองเท่านั้น
เราจึงไม่สามารถนำพาท่านขึ้นไปกราบ
พระบิดาฯแห่งจิตวิญญาณ
ที่ทรงรอคอยพวกท่านมานานแล้วได้

เสียดายบ้างมั้ยล่ะ...
ถ้าจะเป็นผู้หนึ่งที่มิได้รับความรอด
เพราะกลัวถูกเราหลอกทั้งๆที่เรายังมิได้หลอก
ขณะตนอยู่กับฝ่ายที่กำลังหลอกแต่กลับไม่กลัว
และเพราะการยึดติดและมีมิจฉาทิฐิ
จึงปฏิเสธพระบิดาฯของตนเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/04/2020