21 เมษายน 2563

ท่านจะพึ่งพาตนเองได้อย่างไร หากยังมิได้สติทางวิญญาณ

 · 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ใครที่ปรารถนาจะ "นิพพาน"
เพราะไม่ต้องการมาเกิดเป็นมนุษย์โลกอีก
เนื่องจากเข็ดขยาดขลาดกลัวความทุกข์
จึงต้องการหนีไปจากความทุกข์ทั้งปวงนั้น
เราขอยืนยันอีกครั้งว่าท่านไม่มีวันทำสำเร็จหรอก

ถ้า "วิธีคิด" ของท่านยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
แม้ตายไปจากการเป็นมนุษย์บนโลกนี้ได้
จิตวิญญาณของท่านก็ยังต้องไปจุติในภพภูมิอื่น
เพราะกล่องพลังงานจิตวิญญาณของท่าน
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลอยู่ในตนเอง
จะสูญสลายหายไปไหนไม่ได้

ถ้าตายแล้วจิตวิญญาณมีน้ำหนักตัวมาก
เพราะก่อกรรมทำบาปเอาไว้มาก
และมีพลังอำนาจหรือที่เรียกว่า "บุญบารมี" ต่ำ
จิตวิญญาณนั้นก็ต้องไปจุติในแดนนรก
ซึ่งตายไปจากโลกแล้วก็ยังทุกข์หนักอยู่ดี

ถ้าตายแล้วจิตวิญญาณมีน้ำหนักตัวไม่มากเกิน
เพราะทำความดีไว้มากทำกรรมชั่วเอาไว้น้อย
จึงมีพลังอำนาจแห่งบุญบารมีมากพอตัว
จิตวิญญาณนั้นก็จะกลับมาจุติเป็นมนุษย์ได้อีก

ถ้าวิธีคิดยังไม่เปลี่ยนก็กลับมาทุกข์อยู่เช่นเดิม
ถ้าตายแล้วจิตวิญญาณมีน้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม
เพราะหมั่นก่อกรรมดีหนีการทำชั่วไปปลีกวิเวก
จิตวิญญาณนั้นจึงมีพลังแห่งบุญบารมีสูงมาก
เมื่อพ้นจากการมาเกิดเป็นมนุษย์ได้แล้ว
จิตวิญญาณนั้นก็ยังต้องหลุดลอยสูงขึ้นไป
เพื่อไปจุติอยู่ในแดนสวรรค์มายาที่สูงกว่า
เพราะจิตวิญญาณจะหายไปไหนดื้อๆไม่ได้

เมื่อขึ้นไปจุติเป็นเทพเทวดาได้แล้ว
จิตวิญญาณของท่านก็ยังต้องทุกข์อยู่เช่นเดิม
เพราะท่านก็ยังคงมีขันธ์ห้าพร้อมบริบูรณ์อยู่
ที่สำคัญคือ "วิธีคิด" ของท่าน
ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

สำหรับ "วิธีคิด" ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
เกิดจากลักษณะนิสัยดังต่อไปนี้ คือ

1.เกลียดและกลัวปัญหา
2.ไม่อยากพบเจอปัญหา
3.ไม่กล้าเผชิญปัญหา
4.กลัวว่าตนจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้
5.คิดว่าปัญหาเป็นเรื่องยาก

เมื่อมีนิสัยในการมองปัญหาเป็นแบบนี้
มนุษย์จึงเกิดความทุกข์ขึ้นในใจ
กลายเป็นว่าพบเจอปัญหาที่ไหนเมื่อไหร่
จะพาให้เกิด "ทุกข์" ขึ้นที่ใจเสมอ

แต่เนื่องจากในชีวิตประจำวัน
ท่านต้องเผชิญกับปัญหาอยู่หลายแบบ
ทั้งปัญหาที่ตนเองเป็นผู้ก่อเองก็มี
ปัญหาที่คนรอบข้างสร้างขึ้นมาให้ก็มาก
ท่านจึงมองปัญหาเป็นเรื่องของทุกข์ไป
เพราะคุ้นชินกับการคิดการมองแบบนี้มาตลอด

จนยังผลให้มนุษย์จัดการปัญหาอยู่ 3 แบบ

1.ทำตนเป็นคนชอบ "หนีปัญหา"
ละทิ้งหน้าที่หนีความรับผิดชอบ

2.ทำตนเป็นคน "ซ่อนปัญหา" เอาไว้เบื้องหลัง
แบบคนอมทุกข์ คือ หน้าชื่นอกตรมขมขื่นใจ

3.ทำตนเป็นคน "ซุกปัญหา" เอาไว้ใต้พรม
คือทำเป็นลืมมันไปวางเฉยในปัญหานั้น

คนทั้งสามพวกนี้มองว่าปัญหาพาให้ทุกข์
เมื่อใจไม่อยากทุกข์อันเกิดจากปัญหาที่เผชิญ
จึง "หนี" บ้าง "ซ่อน" บ้าง "ซุก" บ้าง

แต่ปรากฏว่าจนแล้วจนรอดก็พ้นทุกข์ไม่ได้
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วนั้น "ความทุกข์" เกิดจากปัญหา
ถ้าท่านแก้ปัญหาได้จัดการปัญหาเป็น
ปัญหานั้นก็จบ ปัญหานั้นก็ไม่มี
เมื่อปัญหาที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่มีเสียแล้ว
ตัวทุกข์ที่อยู่ในจิตใจมันก็ไม่มีเหมือนกัน

แต่แทนที่จะหาวิธีจัดการกับเหตุแห่งทุกข์
คือปัญหาที่ตนกำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่
กลับพากันหนีการเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
เพราะไปมองตรงนั้นว่าเป็นเหตุให้ตนเกิดทุกข์
หากไม่มาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่เกิดทุกข์
ทั้งๆที่ "ทุกข์" เกิดที่ใจ

ตัวอย่างเช่น
ถ้าท่านมองใครว่าน่ารักน่าคบจิตก็ไม่ทุกข์
แต่ถ้าท่านมองใครว่าไม่น่ารักไม่อยากคบใกล้
แต่ต้องจำใจคบหาเพราะว่าเขาอยู่ใกล้ตัว
ตัวท่านก็จะเกิดทุกข์ขึ้นมาที่ในใจ
ทั้งๆที่คนๆนั้นเขาอยู่ของเขาเฉยๆด้วยซ้ำไป
เหตุแห่งทุกข์มันเกิดที่ใจท่านเองทั้งนั้น

ดังนั้น
การหนีทุกข์ คือ การหนีปัญหา
ต่อให้ไปเกิดเป็นทวยเทพเทวดาแล้ว
แต่ตัวทุกข์ที่ในใจมันก็จะยังคงอยู่ยังเกิดอยู่
เพราะมันยังไม่ถูกดับให้สิ้นเชื้อนั่นเอง
ซึ่งเข้าทำนอง "เกา" ไม่ถูกที่ "คัน" โดยแท้

ด้วยเหตุนี้เอง
พวกท่านทั้งหลายจึงยังคงตกค้างอยู่บนโลก
ยังคงลอยค้างกันอยู่บนแดนสวรรค์มายา
เพราะ "หลงทาง" หลงธรรมที่ถูกบิดเบือน
เราจึงต้องย้อนกลับมาเพื่อนำแสงสว่างมาให้
พร้อมกำลังใจอันล้นเปี่ยมเพื่อท่านทั้งหลาย
ให้มีพลังนำพาแก่นแท้ของท่านเองกลับบ้าน
ก่อนการปิดยุคพลังงานเก่าในไม่ช้านี้

แต่ถ้าท่านไม่มีลักษณะนิสัยในการดำเนินชีวิต
เหมือนทั้ง 5 ประการที่เรากล่าวมาข้างต้น
โดยท่านพร้อมที่จะเผชิญปัญหาได้ทุกเมื่อ
ความทุกข์ที่เรากล่าวมาอันเป็นเหตุจากปัญหา
มันก็จะดับหายสลายไปโดยพลัน
เพราะท่านจะเปลี่ยนเป็น "คนใหม่" 
ที่มีทัศนคติต่อปัญหาในทางด้านบวกแทน
โดยท่านจะมีมุมมองปัญหาในแง่มุมใหม่ดังนี้

1.ท่านจะไม่คิดว่ามันยาก
2.ท่านจะไม่ประมาทต่อปัญหาที่เผชิญ
3.ท่านจะเชื่อมั่นว่าทุกปัญหาแก้ไขได้เสมอ
4.ท่านจะมั่นใจว่าทุกปัญหาล้วนมีทางออก

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนใหม่
เพราะมีมุมมองใหม่ในการเผชิญปัญหาแล้ว
ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องหนีปัญหา
โดยอ้างว่า "หนีทุกข์" อย่างหัวซุกหัวซุนอีก
จึงมีเพียงสิ่งเดียวที่ท่านจะหันมาทำกับปัญหา
ก็คือการเรียนรู้ปัญหาและหาหนทางแก้ไข
ด้วยการใช้สติปัญญาของสมองของท่านได้

นี่ไง....ท่านทั้งหลาย

แทนที่จะเป็น "ปัญหาพาทุกข์มาให้"
มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็น 
ทุกปัญหาเป็น "บ่อเกิดแห่งปัญญา" ไปในที่สุด

ท่านจึงจะรับฟังพระโอวาทพระบิดาฯ
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาเข้าใจและฟังรู้เรื่อง
เพราะท่านกับเราใช้ภาษาเดียวกันแล้ว
นั่นคือภาษาของจิตจักรวาลที่เป็นสากล
ท่านจึงจะใช้หลัก "อนุตรธรรม" ของพระบิดาฯ
ซึ่งประกอบด้วยความจริงที่เหนือโลกได้ 
รวมทั้งสิ้น 5 ประการ คือ

1.ใครเป็นผู้เริ่มต้น คนนั้นต้องเป็นผู้สิ้นสุด
2.จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน จุดสิ้นสุดจะอยู่ที่นั่น
3.เข้ามาทางไหน จักต้องผ่านออกไปทางนั้น
4.มาตัวเปล่าจะพาใคร จะเอาอะไรกลับด้วยไม่ได้
5.ถ้าจำผู้ให้กำเนิดไม่ได้ ก็กลับบ้านไม่ได้

โดยความจริงทั้งห้าประการนี้
เป็นองค์อนุตรสัจธรรมความรู้ขั้นสูงสุด
ซึ่งทุกท่านจะต้องเรียนรู้ให้ได้รู้ ไม่รู้ไม่ได้
เพราะมรรควิถีจิตจักรวาลของผู้ใฝ่นิพพาน
มิได้หยุดอยู่แค่ความต้องการจะหนีทุกข์
หรือแค่ความต้องการที่จะพ้นไปจากทุกข์เท่านั้น

แต่พี่ๆน้องๆยุวจิตจักรวาลผู้ปรารถนานิพพาน
ต่างต้องการจะ "กลับบ้าน" ตามพันธะสัญญา
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาฯที่ตนจากมา
กลับไปอย่างองอาจสง่างามต่างหาก
มิใช่อยากหนีออกไปจากโลกอย่างหัวซุกหัวซุน
เพราะความขี้ขลาดเกลียดกลัวความทุกข์
แต่ต้องพาตนเองกลับบ้านเพราะเป็นหน้าที่
โดยบ้านที่ว่านี้มิใช่สวรรค์มายา
แต่เป็นบ้านเกิดจิตวิญญาณนอกระบบเอกภพ
หรือที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า อนันตจักรวาล

หรือที่ชาวบ้านทั้งหลายสมมติกันไว้นานแล้วว่า
"อนันตจักรวาล" เปรียบดั่งกะลาที่คว่ำครอบอยู่
โดยมี "กบ" หรือ "แกะทุกตัว" ถูกครอบไว้
พระบิดาจึงส่งเรามา "เคาะกะลา" ปลุกให้แกะตื่น
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตปัญญาของแกะทั้งหลาย
ให้ฉุกคิดฉับพลันทันทีที่ได้ยินเสียงเราว่า
เหนือฟ้ายังมีฟ้า นอกกะลายังมีพระบิดาฯอยู่
มิใช่เป็นสัพพัญญูรู้ทั่วทั้งอนันตจักรวาลแล้ว
จะไม่มีความรู้อะไรให้เรียนรู้อีกแล้ว

อนุตรธรรม คือ ความรู้นอกกะลา
ที่กบหรือแกะรู้เองไม่ได้
เพราะถูกกะลาคว่ำครอบไว้นานแล้ว

หากมีสองหูแต่ไม่รับฟังเสียงดังจากนอกกะลา
ไม่ยอมรับฟังเราชี้ทางออกไปนอกกะลาให้
วันๆได้แต่ว่ายวนวุ่นวายด้วยการหลับตา
ก้าวเดินตามคนนำทางตาบอดอยู่ในกะลาคว่ำ
ด้วยการสวดลูกประคำนั่งหลับตาปลีกวิเวก
จนหลุดจากชั้นแผ่นดินลอยขึ้นสู่ชั้นฟ้า
จริตกิริยาก็ยังคงเป็นอยู่เช่นเดิม

แล้วท่านจะพึ่งพาตนเองได้อย่างไร
หากยังมิได้สติทางวิญญาณ
หากยังหลงโลก หลงตัวเอง 
ยังอวดดี อวดดื้อ อวดเก่ง 
ขาดการอ่อนน้อมถ่อมใจให้กับพระบิดาฯ

จนแลเห็นว่าห้องเรียน "ป.วิสุทธิปัญญา" นี้
เป็นดั่ง "โรงจำอวด" โรงหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเห็นว่า "อนุตรธรรม" ชั้นสูงของพระบิดาฯ
เป็นแค่ นิทานธรรม สำหรับแสดงจำอวด
จึงนำไปแต่งเป็นหนังสือนวนิยายให้เสื่อมค่า
โดยไม่กลัวว่ากรรมลบจะทำให้สมองเป็นรูพรุน
เพราะจิตวิญญาณตัวเองสั่งทำลายตนเอง
ฐานะที่ลบหลู่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตน
โดยไม่สนใจกฎแห่งกรรม

คนกลุ่มนี้คือพวกนอกรีต
ที่อยู่นอกพระอาณาจักรแห่งพระบิดา
เป็นพวกที่พยายามจะปีนรั้วเข้าคอกนั่นแหละ

กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21/04/2020