20 เมษายน 2563

หลัก "อนุตรธรรม" แห่งองค์จิตจักรวาล

 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

บัดนี้... 
โลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
มนุษย์ทุกคนจักต้องนำพาตัวตนแก่นแท้
คือ จิตวิญญาณ ของท่านคืนกลับบ้านให้ทัน
ก่อนวันเวลาที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งรหัสสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านก็คือ
โลกทั้งโลกจะมืดนาน 56 วัน หรือ 8 ราตรี
ที่จะเต็มไปด้วยเหตุวุ่นวายปั่นป่วนอึกทึก
ภูเขาจะหักโค่น เนินเขาจะเคลื่อนย้าย
แผ่นดินเกาะจะถูกซ่อนหายไปจากสายตามนุษย์
น้ำจะท่วมฟ้าในมุมมองของปลาที่หายใจด้วยปอด
ขณะที่ "ฝูงปลา" ซึ่งยังหายใจด้วยเหงือก
จะพากันว่ายวนขึ้นสู่ฟ้าเสมือนว่าจะเก็บกินดาว

โอม...พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าท่านไม่เลือกที่จะคืนกลับบ้านเกิดที่จากมา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
ท่านจักต้องเร่งฝึกเป็นปลาที่หายใจด้วยปอด
นับตั้งแต่บัดนี้กันได้แล้วล่ะนะ...เวลาเหลือน้อย

แต่ถ้าท่านเลือกที่จะนิพพานก่อนตาย
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลที่เรากลับมาพานำแล้ว
พระบิดาฯจะทรงประทาน "ความรอด" ให้แก่ท่าน
เพราะพระกรของพระองค์ยาวพอที่จะเอื้อมถึงท่าน
พระหัตถ์พระองค์ยิ่งใหญ่พอจะโอบอุ้มพวกท่านไว้
มิให้พลัดพรากจากไปจนหลุดหายจากสายพระเนตร

หลักการนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
อยู่ที่วิธีการปฏิบัติตนขณะยังมีภพชาติอยู่
หากปฏิบัติจริงจังแล้วเพียงภพชาติเดียวก็สำเร็จ
จิตวิญญาณสามารถจะนิพพานได้ในชาตินี้แน่

โดยนิพพานหมายถึง
หลุดพ้นไปจากอนันตจักรวาล
มิใช่นิพพานเทียมเท็จ
ที่หลุดลอยขึ้นไปแขวนเป็นเทพเทวดา
ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ในภพภูมิโลกอีก

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หลัก "อนุตรธรรม" แห่งองค์จิตจักรวาล
ประกอบด้วยความจริงที่เหนือโลก 
รวมทั้งสิ้น 5 ประการ คือ

1.ใครเป็นผู้เริ่มต้น คนนั้นต้องเป็นผู้สิ้นสุด
2.จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน จุดสิ้นสุดจะอยู่ที่นั่น
3.เข้ามาทางไหน จักต้องผ่านออกไปทางนั้น
4.มาตัวเปล่าจะพาใคร จะเอาอะไรกลับด้วยไม่ได้
5.ถ้าจำผู้ให้กำเนิดไม่ได้ ก็กลับบ้านไม่ได้

หากท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ที่มิใช่เพียงแค่บอกตนเองว่าจะหนีทุกข์ 
มิใช่แค่ต้องการจะไปให้พ้นจากกองทุกข์
ตามที่คนนำทางตาบอดสั่งสอนให้ท่านเชื่อ

หากท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
ที่มิใช่เพียงแค่การ "หลับตารอ" พระองค์เสด็จมา
ไถ่บาปให้และพากลับไปกราบพระบาทพระบิดา
แทนที่จะคอยเปิดตาเปิดใจ "รอ"
เพื่อที่จะแลเห็นพระองค์ได้ในทันทีที่กลับมา
เพื่อจะแลเห็นชัดว่าทรงยืนอยู่ตรงหน้านานแล้ว

ทั้งจักต้องเรียนรู้ความจริงอันสูงสุดทั้ง 5 
แล้วให้ความเคารพหลักแห่งอนุตรธรรมนี้
ด้วยการยอมรับมาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เพราะหลักการหรือกฎเกณฑ์ทั้ง 5 นี้
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นทั้งหลาย
จักต้องก้าวไปตามเส้นทางสายนี้เท่านั้น
จึงจะเดินถูกทิศถูกทางไม่หลงทางไปขึ้นเขา
เพราะทางขึ้นยอดเขาวกวนนั้น คือ ทางตัน

อย่าไปคิดด้วยจิตมนุษย์ว่า
ที่สูงกว่าคงจะเหนือกว่า ดีกว่า ถูกต้องกว่า
ไปทางสวรรค์มายาน่าจะเหนือกว่ามาทางโลก
จึงโยกย้ายไปจุติเป็นเทพเทวดากันเป็นการด่วน

ท่านเห็นมั้ยว่าการไปทางสวรรค์มายา
ที่องค์พระบิดาฯมิได้ทรงสร้างไว้นั่น
ไปอยู่บนนั้นชั่วนานนับโกฏล้านกาลกัปป์
ก็ยังแขวนลอยกันอยู่บนนั้นยังไปกันต่อไม่ได้
เพราะมันเป็นเส้นทางตันนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจงมั่นใจเถิดว่า
พระบิดาฯไม่เคยทรงสอนใคร
หรือทำตนเป็นแบบอย่างให้ใครทำตาม
ด้วยการสร้างประตูเข้าออก
เอาไว้ "บนหลังคา" อาคารบ้านเรือนหรอก
แค่ให้เดินขึ้นห้องนอนชั้นสองทุกวัน
เมื่อตอนอายุมากท่านก็เหนื่อยพอแรงแล้ว

พระองค์จึงทรงออกแบบให้
จิตวิญญาณของบุตรมนุษย์ที่ชรามากแล้ว
สามารถจะเดินทางกลับบ้านไปหาพระองค์
ได้อย่างสบายแรงสะดวกดาย
ด้วยเส้นทางกลับออกไปเส้นเดียวกับเมื่อเข้ามา
ให้มันอยู่ในแนวระนาบหรือบนเส้นทางราบ
อันเป็นเส้นทางสายลัดตรงสู่ประตูอุโมงมิติได้
โดยไม่ต้องปีนป่ายวกวนจนวิงเวียนเลย

พวกท่านทั้งหลาย
ชอบคิดว่า "นิพพาน" เป็นเรื่องยาก
จึงละทิ้งหน้าที่นิพพานกันไปดื้อๆ
โดยไปคิดเข้าข้างตนเองว่าตายแล้วก็จบ
ทั้งๆที่ตัวท่านเอง "จบ" ชีวิตตัวเองได้
แต่ท่านจะเป็น "จุดจบ" ของจิตวิญญาณไม่ได้

เพราะจิตวิญญาณเป็น "นาย"
จิตหยาบกับกายหยาบของท่านเป็น "บ่าว"
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเป็นผู้เริ่มต้น
ด้วยการขันอาสาพระบิดาฯมาเกิดเป็นท่าน
เมื่อจะจบการเป็นมนุษย์ในโลกเสรีนี้
จิตหยาบกับกายหยาบของท่าน
จึงเป็นผู้สิ้นสุดหรือ "จบ" ภารกิจนี้ไม่ได้
จิตวิญญาณของท่านเท่านั้น
จักต้องเป็นผู้สิ้นสุดหรือยุติด้วยตนเอง

ดังนั้น
จิตหยาบจึงต้องช่วยแผ้วถางกรุยทางให้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ดำเนินกลับบ้านไปตามเส้นทางที่แรกเข้ามา
ได้อย่างถูกต้องโดยไม่หลงทิศหลงทาง
และให้ก้าวเดินกลับได้เองอย่างองอาจสง่างาม
มิใช่ย่างเดินสะเปะสะปะอย่างไร้เรี่ยวแรง
เพราะหลงทางมานานอย่างที่เป็นอยู่จนทุกวันนี้

เราจึงได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายตลอดมาว่า
ในภพชาติสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่า
เราจะกลับมารับพวกท่านกลับบ้าน
ในวันใดที่พระบิดาฯทรงพิพากษาโลกเสรีนี้
เพราะเรารู้ว่าท่านพึ่ง "คนนำทางตาบอด" มิได้

เนื่องจากเส้นทางสายนิพพานเพื่อกลับบ้าน
คนนำทางทั้งหลายที่มิใช่ศาสดา
พวกเขาเองก็ยังไม่เคยไปมาก่อน
พวกเขาย่อมนำทางท่านไปให้ถูกทางไม่ได้

ทดสอบสิว่า...
พวกเขายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า
เส้นผ่านศูนย์กลางของอนันตจักรวาลนี้
ใยพระบิดาฯทรงประทานนามว่า Milky Way
ที่แปลว่า ธารสายน้ำนม ซึ่งเป็นถนนสีขาว

ทดสอบด้วยสิว่า...
พวกเขาทั้งหลายจะรู้กันหรือไม่ว่า
"ทางออก" ที่ถูกต้องเพื่อดำเนินกลับบ้าน
ที่ดำเนินไปง่ายๆสบายๆโดยมิพักต้องปีนป่าย
มันอยู่ที่ปลายธารสายน้ำนม

พระจิตเรานามเทพแห่งอัคคีฟีนิกซ์เบิร์ด
เคยโบยบินเข้ามาแล้วกลับไปแล้วกลับมาอีก
จนจำทางกลับบ้านไปกราบพระองค์
เส้นทางเดียวกันกับที่เข้ามาจุติบนโลกเสรีนี้
ได้อย่างแม่นยำมิรู้ลืมเลือน
จงมั่นใจเถิดว่าเราไม่พาท่าน "หลงทาง" แน่ๆ
เพราะว่าเราคุ้นเคยเส้นทางนี้ดีมากแล้ว

ดังนั้น
ในการสนทนาบทต่อไป
เราคงจะมีเรื่องของอนุตรธรรมวิถี
ที่เป็นกฎเกณฑ์ของจิตจักรวาล 5 ประการ
มากล่าวต่อท่านทั้งหลายอีก

ใครปรารถนาจะก้าวตามเรา
จง "ยกมือขึ้น" ณ บัดเดี๋ยวนี้....

กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/04/2020