08 มกราคม 2558

Green House Effect


สภาวะเรือนกระจก

สภาวะเรือนกระจก

เป็นปรากฏการณ์ที่วิปริตผิดธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลก

อันเกิดจากการที่ในชั้นบรรยากาศของโลก
มีก๊าซซึ่งน้ำหนักมวลมากๆหลายชนิด ลอยสูงขึ้นไปรวมตัวกันอยู่
แล้วปกคลุมหุ้มห่อโลกทั้งระบบเอาไว้
โดยไม่อาจหลุดลอยพ้นออกไปในอวกาศ
เหมือนเช่นอดีตกาลที่ผ่านมา

ยิ่งนับนานวันผ่านไป
ความหนาแน่นของสภาวะเรือนกระจกดังกล่าวนี้
จะยิ่งมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่มันมีความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น
น้ำหนักมวลของประดาก๊าซเรือนกระจกที่รวมตัวกันเหล่านี้
มันก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ในอนาคตข้างหน้า
ระดับความสูงของสิ่งที่เรียกว่า "เรือนกระจก" นี้
มันจะค่อยๆลดระดับต่ำลงมาเรื่อยๆ
คล้ายเมฆฝนหนาๆที่จะค่อยๆลอยต่ำลงมาหาพื้นโลก
ในระดับแค่ยอดตึกสามสิบสี่สิบชั้นนั่นแหละ
ถ้าหากว่ามนุษย์โลกตีปัญหานี้ไม่แตก
แล้วแก้ไขปัญหานี้ไม่ตก

ก๊าซเรือนกระจก 
เป็นก๊าซที่จะมีน้ำหนักมวลมากกว่าก๊าซปกติทั่วไป

ตัวอย่างของก๊าซเรือนกระจก
ที่สร้างปัญหา ภาวะโลกร้อน พอสังเขป
มีดังต่อไปนี้ คือ

1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์: CO2
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ออกซิเจน (O) 2 ตัว 
รวมกันเป็น CO2

2. ก๊าซมีเทน: CH4
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ไฮโดรเจน  (H) 4 ตัว
รวมกันเป็น CH4

3.ก๊าซไนตรัสออกไซด์: N2O
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ ไนโตรเจน (N) 2 ตัว กับ  ออกซิเจน 1 ตัว
รวมกันเป็น N2O

4.ก๊าซฮาโลคาร์บอน: HC
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิดมาก

5.ก๊าซโอโซน: O3
ประกอบด้วยก๊าซออกซิเจน (O) 3 ตัว
มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล

6.ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์: CO
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ออกซิเจน (O) 1 ตัว 
รวมกันเป็น CO

7.ก๊าซมวลหนักจำพวก NO, NO2 และ SO2
ก๊าซเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดกรดบางชนิดในชั้นบรรยากาศ
แล้วตกลงมาพร้อมกันฝน ที่เรียกว่าฝนกรด หรือฝนพิษ นั่นเอง
กรดไนตริก และ กรดซัลฟูริค หรือ กรดกำมะถัน เป็นต้น

ทำไมก๊าซเหล่านี้
ไม่หลุดลอยออกไปในอวกาศ


แต่เดิมมานั้น 
โลกไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้เลย
เพราะเหตุว่า

1.ก๊าซมวลหนักดังกล่าวไว้ข้างต้น
มิได้ถูกผลิตขึ้นมามากมายเหมือนโลกในยุคปัจจุบันนี้

2.โลกยุคอุตสาหกรรมสมัยใหม่
โดยมนุษย์ที่ขาดสติและไร้จิตสำนึก
ที่เห็นแก่ประโยชน์ทางธุรกิจการค้า
จากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ
ได้พากันสร้างมลพิษที่เป็นก๊าซมวลหนักทั้งหลาย
ขึ้นมาในระบบโลก

ยิ่งมนุษย์เจริญก้าวหน้าทางวัตถุเท็คโนโลยีมากเท่าใด
บรรดาก๊าซมวลหนักซึ่งเป็นก๊าซพิษ
ก็จะก่อมลภาวะให้แก่โลกมากขึ้นเท่านั้น
เพราะก๊าซมลภาวะที่เป็นพิษเหล่านี้
เป็นกากของเสียในกระบวนการผลิตนั่นเอง

3.เดิมก๊าซมวลหนักที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในระบบโลก
ไม่เคยสร้างปัญหาภาวะเรือนกระจกดังเช่นปัจจุบัน
เพราะว่ามันมีจำนวนน้อยมาก
และพระบิดาได้ทรงกำหนด
กระบวนการสร้างความสมดุลเอาไว้ให้แล้ว

4.จนล่วงมาถึงปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้ปรากฏว่า
โลกมีปริมาณก๊าซมวลหนักที่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่
ทวีจำนวนขึ้นมาอย่างมากมายหลายเท่านัก

ในขณะที่กลไกกระบวนการสร้างสมดุลของระบบ
ที่พระบิดาทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ให้แล้วนั้น
มีการเสื่อมสมรรถภาพเกิดขึ้นจนแทบจะใช้การไม่ได้

5.ความเสื่อมที่ว่านี้ก็คือ
กระบวนการผลิตก๊าซออกซิเจน ในแกนโลก
กำลังมีปัญหาอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยมันทำงานไม่ราบรื่น และทำได้ไม่เต็มพลัง
จนยังผลให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในระบบโลก
ที่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาจากแกนโลกภายใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์
มีความหนาแน่นน้อยลง คือ เจือจางมาก หรือเสียสมดุลไป

6.กระบวนการสร้างสมดุลของก๊าซในระบบโลก
ที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ให้ก็คือ
ทรงให้ใช้ ก๊าซออกซิเจน  ปริมาณมากมาย
ที่ถูกผลิตสร้างขึ้นจากจิตสำนึกแห่งรัก
ของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ในส่วนที่เหลือใช้ของมนุษย์ สัตว์ และพืชแล้ว
ที่มีปริมาณความหนาแน่นสูงกว่าก๊าซมวลหนัก
ซึ่งมนุษย์ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมและควันพิษนั่น

โดยทรงกำหนดให้ก๊าซออกซิเจนที่เป็นก๊าซเบากว่า
ช่วยทำหน้าที่ผลักดันก๊าซมวลหนักหรือก๊าซพิษ
ให้มันลอยตัวสูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศเรื่อยไป
จนพวกมันสามารถพากันหลุดพ้นออกไป
จากแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลกนี้
เป็นผลสำเร็จได้ในที่สุด

7.ดังนั้น การที่โลกทุกวันนี้มีปัญหาก๊าซเรือนกระจก
จนก่อภาวะโลกร้อนขึ้น
แล้วมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่
ของมนุษย์โลกทั้งระบบนี้
เป็นเพราะสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก....
เพราะโลกขาดปริมาณก๊าซออกซิเจน
จนจวนถึงขั้นวิกฤติแล้ว
เนื่องจากโรงงานผลิตที่แกนโลกทำงานได้ไม่เต็มที่

ประการที่สอง....
เพราะมนุษย์ผลิตสร้างก๊าซมวลหนัก
หรือก๊าซเรือนกระจก หรือ
ผลิตก๊าซพิษที่มีปัญหาพวกนี้ออกมา
มากขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้จิตสำนึก

ทำไมโรงงานผลิตออกซิเจน
ที่แกนโลกจึงมีปัญหา

ทุกท่านจะต้องรู้ว่าในแกนโลกนั้น
พระบิดาทรงติดตั้งก้อนธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ไว้
มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเม

อะตอมของธาตุออกซิเจนในแกนโลกนี้
จะอ่อนไหวต่ออนุภาคประจุไฟฟ้าบวก
ที่มวลมนุษย์ สัตว์ และพืช ทำการผลิตสร้างร่วมกัน
ด้วยการสั่นสะเทือนแก่นแท้ของตนในทุกวินาที
ในมิติแห่งรักบริสุทธิ์ที่ท่านทั้งหลายและทุกสรรพสิ่ง
ต่างหยิบยื่นให้แก่กันและกันเสมอในยามตื่น

ทันทีที่พลังงานแห่งรัก
จากการผลิตสร้างของพวกท่าน
ถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายแล้ว
คลื่นพลังงานด้านบวกนี้
จำนวน 1 % จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไป
ทำปฏิกริยานิวเคลียร์กันกับอะตอมธาตุออกซิเจน
ที่แกนโลกเสมอ

มันจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นทันที
ด้วยปฏิกริยาที่เรียกว่า Nuclear Fission 
และยังเป็นแบบลูกโซ่อีกด้วย

ปฏิกริยาในกระบวนการที่ว่านี้นี่เอง
ที่ขณะนี้กำลังขัดข้องหนัก
เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่
รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
มิหนำซ้ำยังพากันผลิตพลังลบออกมาเสียอีก
ทั้งกิเลสหนา ตัณหาเยอะ 
เลอะเทอะไปด้วยความงมงาย

จงระวังปัญหาใหญ่
ที่โลกกำลังจะสั่งสอนมนุษย์

ปัญหาใหญ่ที่มนุษย์โลกไม่รู้ว่าตนยังไม่รู้

1.การที่ตนรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็นนั้น
มันจะก่อปัญหาภาวะโลกร้อนให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตลอดไป

2.แม้จะหยุดผลิตสร้างก๊าซพอลลูชั่นควันพิษทั้งหลายขึ้นมาใหม่
โดยรณรงค์กันได้จริงๆก็ตาม แต่ปัญหาภาวะโลกร้อนเดิม
อันเป็นปัญหาที่ประสบอยู่ก็ไม่มีทางจะแก้ไขได้

3.ความหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้นั้น
สักวันหนึ่งมันจะเพิ่มมากขึ้น และจะพากันลอยตัวต่ำลง
มันจะยังผลให้เพดานหรือหลังคาโลกต่ำเตี้ยเรี่ยลง

ผลลัพธ์คือ........ 
มนุษย์จะพากันอึดอัดมากขึ้น หายใจไม่สะดวก
เพราะโลกมีที่ว่างที่จะเก็บก๊าซออกซิเจนให้หายใจน้อยลง

ผลลัพธ์คือ........
มนุษย์จะต้องแย่งอากาศกันหายใจ
เพราะปริมาณการผลิตจากโรงงานที่แกนโลกน้อยลง

ร่างกายมนุษย์จะพากันขาดออกซิเจน
จนเกิดอาการเจ็บป่วย ทรุดโทรม เสียสติง่าย สมองทึบ

สัตว์น้ำจืดน้ำทะเลจะพากันตายลอยเป็นแพ จนน้ำเน่าเสีย
สาหร่ายสีเขียวจะสูญหาย
สาหร่ายสีแดงจะเติบโตแทน
มนุษย์จะจุดไฟก่อไฟยากขึ้น
พืชพรรณไม้ทั้งหลายจะมีปัญหาด้านการเติบโต

ผลลัพธ์คือ.......
ก้อนเมฆชั้นต่ำ เช่น เมฆฝน เมฆความชื้นสูง และเมฆที่มีประจุลบ
จะพากันลอยตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ
อันเกิดจากการถูกกดดันของก๊าซเรือนกระจก
จนยังผลให้มนุษย์จะต้องเผชิญกับ
ปัญหาภูมิอากาศวิปริตแปรปรวนรุนแรง

มนุษย์จะต้องเผชิญกับปัญหาฝนฟ้าคะนองและฟ้าผ่า
เสมือนเครื่องบินที่บินฝ่าพายุและเมฆฝน
ที่สนามแม่เหล็กกำลังแปรปรวน
โดยเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า

ผลลัพธ์ก็คือ.....
แผ่นดินโลกจะสั่นไหวรุนแรงไปทั่ว จนคาดคะเนไม่ได้
เนื่องจากการระเบิดที่แกนโลกไม่สม่ำเสมอ
หรือสูญเสียความสมดุลไป

ท่านทั้งหลายอย่าถามว่า
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เรากล่าวนี้ จริงหรือไม่
เพราะเราเป็นผู้กล่าวความจริงเสมอ

ท่านทั้งหลายอย่าถามเราว่า
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เรากล่าวไว้นี้ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ช้าหรือเร็ว....เพราะเรามิได้เป็นผู้กำหนด
มนุษย์โลกทั้งหลายนี่แหละเป็นผู้กำหนด

พระบิดาทรงบัญชาให้เรากล่าวความจริงทั้งหมดนี้
เพื่อบันทึกไว้เป็นความรู้คู่ดาวเคราะห์โลก
สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่กันต่อไป

กาลเวลาจักเป็นเครื่องพิสูจน์
ห้องเรียนนี้จักเป็นตู้พระคัมภีร์แห่งจิตจักรวาล
ที่ใครๆก็สามารถเข้ามาอ่านเข้ามาเรียนรู้ได้

จงเข้าห้องเรียนนี้มาเรียนเพื่อได้รู้....
จงอย่าเข้ามาเรียน.....เพื่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
จงใช้สติปัญญาของท่านพิจารณาเถิด

เอเมน....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
8-01-2015