24 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ถ้าท่านสำนึกรู้ว่าตนเองเป็นคนสองมิติ
โดยจิตวิญญาณของท่านเป็นผู้ขันอาสามาเกิด
แล้วมอบอำนาจให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนนั้น
“จิตหยาบ” ต้องมีหน้าที่เรียนรู้ที่จะใช้จิต 3 นึก
คือนึกออกนึกเอาและนึกเองขับเคลื่อนพฤติกรรม
ในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความรักให้ได้
ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกับคนรอบข้างให้สำเร็จ
โดยมีความฉลาดของสมองสองซีกเป็นเครื่องมือ
 
การที่ท่านสามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญา
ด้วยความรักและความฉลาดคิดของสมองได้
มันคือการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกของท่าน
เพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็นคนที่สมดุล
 
การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หมายถึง
สามารถใช้จิตกับสมองของตนได้โดยไม่มืดบอด
เพราะได้ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนจนเกิดทักษะ
ในการนึกคิดเมื่อเผชิญปัญหาในชีวิตมาระดับหนึ่งแล้ว
 
ส่วนการเป็นมนุษย์ที่สมดุลนั้นหมายถึง
การที่ท่านสามารถสั่นสะเทือนตนเองในมิติคู่ขนาน
คือทั้งในมิติทางกายภาพกับในมิติทางพลังงาน
พร้อมกันทั้งสองมิติได้อย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของการกระทำหรือ “ผลกรรม”
ในสองมิติควบคู่กันไปในบทบาทของ #คนสองมิติ
ตามที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลทรงออกแบบไว้
 
แปลความได้ว่ามนุษย์ทุกคนจักต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะ
เมื่อนึกคิดอะไรอย่างไรจิตก็ต้องสั่นสะเทือนไปตามนั้น
เมื่อจิตสั่นสะเทือนไปตามนั้นแล้ว
พฤติกรรมที่แสดงออกมาภายนอกในทางกายภาพ
มันจักต้องแสดงออกมาภายนอกอย่างสอดคล้อง
กับอาการของจิตที่มันสั่นสะเทือนเป็นการนึกนั้นด้วย
เช่นถ้านึกบวกท่านก็ต้องคิดบวกพูดบวกทำบวก
ถ้านึกลบท่านก็ต้องคิดลบพูดลบและกระทำด้านลบ
แสดงออกมาให้บุคคลรอบข้างแลเห็นเป็นประจักษ์ว่า
ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ขี้จุ๊มี #ปากกับใจตรงกัน
 
ดังนั้น
คำว่าเป็นผู้มี #สัจจะ สำหรับมนุษย์ที่เป็น “คนสองมิติ”
จึงหมายถึงท่านเป็นผู้ที่มีปากกับใจตรงกันนั่นเอง
กล่าวคือเมื่อจิตเกิดมโนกรรมมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบใดๆก็ตามภายในมิติของจิต
ท่านจึงสั่นสะเทือนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ไปตามสภาวะจิตของท่านในขณะนั้นนี่แสดงว่าไม่โกหก
 
แต่ในทางกลับกัน
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
แล้วขับเคลื่อนมันออกมาภายนอกเป็นวจีกรรมคำพูด
หรือเป็นกายกรรมจากการกระทำต่อคนๆนั้นเป็นบวก
เพื่อจะตบตาซ่อนเร้นความรู้สึกนึกคิดของจิตที่เป็นลบ
อย่างนี้ก็เรียกว่า “เสแสร้ง” ไม่มีสัจจะหรือโกหก
 
แต่ในอีกทางหนึ่งก็คือ
ถ้าท่านมีอารมณ์รู้สึกนึกคิดที่เป็นลบต่อคนๆนั้น
แล้วท่านก็ไม่กล้ากล่าวตามความจริงจากใจของท่าน
เพราะเกรงว่าเขาจะเสียใจหรือเกรงว่าเขาจะไม่พอใจ
ท่านจึงทำตนเป็นนักเสแสร้งแสดงบทลวงตาต่อเขา
เพื่อช่วยให้เขาไม่เสียใจไม่มีปัญหาขัดแย้งกับท่าน
ท่านก็จะผิดบาปต่อเขาเพราะปากกับใจทานไม่ตรงกัน
อันเป็นการ “ลวง” ให้เขาเข้าใจผิดไปจากความจริง
นี่ก็เท่ากับว่าท่านก็กระทำผิดต่อผู้อื่นก้าวล่วงต่อผู้อื่น
จนต้องตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรมเสมอ
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
จิตใจกับปากของมนุษย์แต่ละคนนั้น
หากตราบใดที่สองสิ่งนี้มันยังมีมลทินอยู่
ท่านจะไปสอนลูกหลานลูกศิษย์ให้ศักดิ์สิทธิ์มิได้
เพราะพวกเขาจะไม่มีใครเชื่อฟังท่านหรอกนะ
เนื่องจากกฎแห่งกรรมนั้นมันเป็นกฎแห่งกระจก
มันเป็นภาพสะท้อนย้อนคืนสู่ตัวท่านที่เป็นผู้กระทำ
เงาสะท้อนกลับที่ลูกหลานลูกศิษย์ไม่เชื่อฟังท่าน
มันเป็นมายาอันเกิดจากมโนกรรมของตัวท่านเอง
 
มนุษย์โลกที่ล้มเหลวในการใช้อายตนะ
เพราะใช้ปากและจิตใจหรือจิตปัญญาผิดบาป
เนื่องจากกระทำก้าวล่วงหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร้สัจจะ
เพราะเป็นนิสัยสันดานเคยตัวก็พบว่ายังมีมากอยู่
เพราะมีนิสัยมักง่ายในการใช้ปากอย่างไร้สติกันก็มีบ้าง
 
แต่บางสถานการณ์นั้นมันไม่จำเป็นต้องโกหกก็ได้
เพราะมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
มนุษย์บางคนกลับเลือกที่จะกล่าวคำเท็จต่อผู้อื่น
ทั้งๆที่ไม่รู้วัตถุประสงค์ของตนว่าจะโกหกไปเพื่ออะไร
นิสัยสันดานแบบนี้แหละคือการเป็นคนไม่มีสัจจะ
เวลาตกนรกแล้วจะตกนรกนานเพราะขาดจิตสามนึก
จิตวิญญาณจะสำนึกในผิดบาปของตนเองยากมาก
เพราะการจะพ้นจากขุมนรกแต่ละขุมนั้นๆได้
อยู่ที่การมีสัจจะโดยยอมรับความจริงของตนให้ได้
แม้เป็นการ “ยอมรับผิดบาป” จากการกระทำของตน
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/07/2022